ดินแดนปัญญาชน SEAL2thai.org

 

สมุดปกขาว คมช

สาระดีดี จาก ดินแดนปัญญาชน

 

ปลูกต้นไม้แห่งปัญญา กับ ดินแดนปัญญาชน  

          ดินแดนปัญญาชน           

bullet

[หน้าแรก]
 

bullet

[รวมสาระ]
 

bullet

[webboard]
 

bullet

[คุรุชน]
 

bullet

[สอบบรรจุครู]

 
bullet

ร่วมสนับสนุนเรา
โดยการทำ link
มาหาเรานะครับ

 เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก
 
เรียนพิเศษในพิษณุโลก
 
วงการครู
ขนมจีน

 ข้อสอบ o-net a-net

       
    
บ้านครูแชมป์ เรียนพิเศษในพิษณุโลก

         

     

ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครองในประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

   ประเด็นอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจ


   สถาบันพระมหากษัตริย์กับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย

   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองราชย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาตลอดรัชกาลซึ่งยาวนานถึง 60 ปี ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงวางพระองค์อย่างเคร่งครัดในฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ

   ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญกับความแตกแยกอย่างหนักระหว่างคนที่สนับสนุนและคัดค้านรัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มิได้ทรงเข้าแทรกแซงในทางใด ทรงปฏิเสธข้อเรียกร้องในการที่จะให้นำมาตรา 7 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้ กล่าวคือ การจัดให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน นอกจากนั้น ยังมีพระราชดำรัสแก่คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดเมื่อปลายเดือนเมษายน 2549 ขอให้สถาบันตุลาการเข้าคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย แทนการเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์เข้ามาแทรกแซง

   สำหรับการเข้ายึดอำนาจการปกครองของฝ่ายทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น โดยข้อเท็จจริง คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง แล้วจึงได้กราบบังคมทูลขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติในประเทศไทยด้วยเห็นว่าการเข้ายึดอำนาจการปกครองเป็นเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งองค์พระประมุขสมควรจะได้ทรงรับทราบ

   ส่วนการที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็เพื่อให้มีอำนาจรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันเหตุที่อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงได้ ในอดีตก็เคยมีการปฏิบัติทำนองนี้มาแล้ว เช่นเมื่อคราวที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เข้ายึดอำนาจการปกครองเมื่อปี 2534

   อย่างไรก็ตาม ในด้านการเมืองการปกครอง พระมหากษัตริย์ไทยทรงตระหนักถึงการดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และทรงเข้าพระทัยถึงการเมืองที่มีลักษณะแยกออกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยทรงวางพระองค์อยู่นอกกรอบการเมืองของชาติอย่างเคร่งครัดเสมอมา

 
   การประกาศกฎอัยการศึก

   สำหรับเหตุผลของการประกาศกฎอัยการศึกและความจำเป็นในการคงประกาศกฎอัยการศึกนั้น เพื่อควบคุมให้สถานการณ์ในประเทศดีขึ้น และกลับสู่ภาวะปกติตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว ทั้งนี้ การประกาศกฎอัยการศึกดังกล่าว เป็นไปตามรัฐธรรมนูญไทยที่เคยมีมาทุกฉบับ และแม้ในระดับสากลก็ยอมรับไว้ในข้อ 4 (1) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งระบุว่าในภาวะฉุกเฉิน มีภัยสาธารณะอันคุกคามความอยู่รอดของชาติและได้มีการประกาศภาวะนั้นอย่างเป็นทางการแล้ว รัฐภาคีแห่งกติกานี้อาจใช้มาตรการที่เป็นการเลี่ยงพันธกรณีของตนภายใต้กติกานี้ได้เพียงเท่าที่จำเป็นตามความฉุกเฉินของสถานการณ์ ทั้งนี้มาตรการเช่นว่านั้นจะต้องไม่ขัดแย้งต่อพันธกรณีอื่นๆ ของตน ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติเพียงเหตุแห่งความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ทางสังคม

   ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 9 ได้ประกาศอย่างแจ้งชัดว่า "จะยึดมั่นในหลักกฎบัตรสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์ของชาติ จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิ และจะปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญา หรือข้อตกลงที่ทำไว้กับนานาประเทศ..." ซึ่งต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ก็มีหลักประกันการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เช่นนี้ โดยมาตรา 3 แห่งรัฐธรรมนูญฯ กำหนดว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้"

   แม้ขณะนี้ ประกาศกฎอัยการศึกยังมีผลใช้บังคับอยู่ โดยมีข้อสังเกตว่า มาตรา 11 ของพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 ให้อำนาจเด็ดขาดแก่เจ้าพนักงานฝ่ายทหารที่จะจำกัดหรือห้ามประชาชน มิให้กระทำการใดๆ ได้หลายกรณี เช่น การห้ามมั่วสุมชุมนุมกัน การห้ามจำหน่ายหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือหนังสือพิมพ์ การห้ามส่งวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ การห้ามใช้ทางสาธารณะ การห้ามใช้เครื่องมือสื่อสาร และการห้ามออกนอกเคหสถาน เป็นต้น แต่ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือที่ปัจจุบันคือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติกลับใช้อำนาจที่มีอยู่ดังกล่าวอย่างจำกัดและเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อให้มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนน้อยที่สุด โดยจำกัดสิทธิทางการเมืองเพียงบางประการ ได้แก่ การห้ามชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งเหตุผลสำคัญก็เพื่อควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศในระยะเฉพาะหน้า และเพื่อเหตุผลด้านความมั่นคง ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นการยึดอำนาจมาเพียงประมาณเดือนเศษ จึงเห็นได้ว่า การใช้กฎอัยการศึกจำกัดสิทธิดังกล่าวสอดคล้องและเป็นไปตามข้อ 4 (2) ของ ICCPR ที่อนุญาตให้มีการเลี่ยงพันธกรณีในภาวะฉุกเฉินได้เท่าที่จำเป็น และอันที่จริงก็สอดคล้องกับระบบกฎหมายของไทยอยู่ก่อนแล้ว โดยจะพิจารณาผ่อนคลายหรือยกเลิกเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะที่ไว้วางใจได้แล้วต่อไป

   อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า การใช้อำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในการจำกัดสิทธิของประชาชนบางประการข้างต้น มิได้ริดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่กฎหมายระหว่างประเทศกำหนดห้ามการละเมิดอย่างเด็ดขาดแต่อย่างใด เช่น สิทธิในการมีชีวิต (right to life) สิทธิที่จะไม่ได้รับการทรมาน สิทธิที่จะไม่ได้รับการปฏิบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม (right to be free from torture and other inhumane or degrading treatment or punishment) เป็นต้น

   ในทางปฏิบัติ ถึงแม้ว่าจะมีการออกประกาศกฎอัยการศึกโดยจำกัดการใช้สิทธิทางการเมืองบางประการก็ตาม แต่ในความเป็นจริง สื่อมวลชนแขนงต่างๆ ก็ยังสามารถเสนอข่าวได้อย่างปกติ คดีต่างๆ ยังสามารถไปสู่ศาลยุติธรรมได้ตามปกติ อีกทั้งประชาชนทั่วไปก็สามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้โดยเสรี หากต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมตามกฎหมาย
สิทธิเสรีภาพของประชาชน

   การปฏิรูปการปกครองและมาตรการต่างๆ ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์มากว่าส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือสิทธิพลเมือง (civil liberties) อาทิ การจำกัดบริเวณผู้นำทางการเมืองบางคน ซึ่งอันที่จริงบัดนี้ก็ได้มีการปล่อยตัวไปแล้ว การจำกดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพของสื่อมวลชนในช่วงการยึดอำนาจการปกครอง การจำกัดเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะในส่วนของพรรคการเมือง และการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ (เกินกว่า 5 คน) ซึ่งขณะนี้ยังมีผลอยู่

   ในการปฏิรูปการปกครองครั้งนี้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่มีความประสงค์ที่จะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ตระหนักดีว่า มาตรการต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ในระยะเฉพาะหน้า จึงได้ระมัดระวังอย่างยิ่งที่ให้มีข้อจำกัดสิทธิเสรีภาพให้น้อยที่สุดและตราบเท่าที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ซึ่งการดำเนินการและมาตรการต่างๆ ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นความพยายามในแนวทางนี้ ทั้งนี้ เพราะมีความจำเป็นจากสถานการณ์ฉุกเฉิน เหตุผลทางการเมืองความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ เนื่องจากยังเป็นช่วงหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง หลังจากที่สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้วจะมีการประกาศยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ รวมทั้งกฎอัยการศึกโดยเร็ว

   ในทางปฏิบัติ เป็นที่ประจักษ์ว่าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลมิได้มีเจตนารมณ์หรือดำเนินการใดๆ ที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนแต่อย่างใด ยังมีการชุมนุมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพหรือแม้กระทั่งคัดค้านการปฏิรูปฯ ในมหาวิทยาลัยและสถานที่สาธารณะอย่างเปิดเผย ซึ่งทางการเพียงแต่เฝ้าติดตามสถานการณ์เท่านั้น มิได้สั่งระงับหรือห้ามกิจกรรมดังกล่าวตราบเท่าที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความวุ่นวาย นอกจากนี้ ในส่วนของกิจกรรมของพรรคการเมือง ก็ได้ประกาศให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 ยังคงใช้บังคับต่อไป

   ในส่วนของประชาชน ยังมีสิทธิเสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร รับข้อมูลข่าวสารและเดินทางไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ดังเห็นได้จากสื่อมวลชนของไทยและต่างชาติทุกแขนงยังเสนอข่าวและความคิดเห็นทางการเมืองต่างๆ อย่างแทบไม่แตกต่างไปจากช่วงเวลาปกติ สื่อมวลชนและนักวิชาการบางส่วนยังแสดงความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปอย่างชัดเจน การดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนหรือการดำเนินธุรกิจทั้งของคนไทยและต่างประเทศไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดทั้งสิ้น รวมทั้งการประชุมทางวิชาการ ธุรกิจหรือเพื่อประสานราชการยังสามารถทำได้ตามปกติ

   การดำเนินการข้างต้นและแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนนี้ได้รับการยอมรับ และระบุไว้ในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูยแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ที่ว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้"


   เศรษฐกิจพอเพียง

   เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ พออยู่ พอมี พอกิน พอดี ไม่ฟุ้งเฟ้อ ความมีเหตุผล การอยู่ในหนทางสายกลาง รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเยาวชน เจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและพร้อมที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งในด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

   ก้าวต่อไปของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

   คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ดำเนินการตามที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้คือ ดำเนินการให้มีนายกรัฐนตรีเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนภายในสองสัปดาห์ ส่วนคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้เปลี่ยนเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีการดำเนินการที่ผ่านมาและที่จะดำเนินการต่อไป ทั้งในส่วนของการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา อันเป็นเหตุแห่งการยึดอำนาจในครั้งนี้ และการร่วมกับทุกฝ่ายปฏิรูปการปกครองต่อไปข้างหน้า ดังนี้

   การเข้ายึดอำนาจสืบเนื่องจากการทำลายหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ปี 2540 โดยได้ยืนยันที่จะดำเนินการที่จะฟื้นฟูประชาธิปไตยโดยเร็ว เข้าแทรกแซงทางการเมืองช่วงสั้น โดยใช้เวลาน้อยที่สุด เพื่อรักษาความสงบ ความสามัคคี และความยุติธรรมภายในประเทศ

   ดำเนินการให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่คงสภาพต่อไป โดยมีอำนาจหน้าที่ในการเตรียมการการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม

   ดำเนินการให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และให้คงอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเหมือนเดิม และแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) คู่ขนานกันไป พร้อมทั้งให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้เงินของรัฐและการป้องกันปราบปรามการทุจริตต่อไปอย่างอิสระ

   ดำเนินการให้ผู้ตรวจการรัฐสภาปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในการรับคำร้องจากประชาชนเกี่ยวกับการใช้อำนาจในทางที่ผิด

   องค์กรอิสระที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 บางองค์กร ได้แก่ ศาลปกครอง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยังคงมีสถานะดังเดิม

   สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยังคงมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาล

   มีการจัดตั้งคณะที่ปรึกษา 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม และความสมานฉันท์แห่งชาติ

   ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ซึ่งส่งผลให้คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลายสภาพเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

   ดำเนินการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนเพื่อบริหารประเทศ

   จะยกเลิกกฎอัยการศึกเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติและมีความมั่นคงปลอดภัยเพียงพอ

   ดำเนินการเพื่อแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติจนแล้วเสร็จ อยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อแต่งตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติจำนวนไม่เกิน 2,000 คน จากต่างสาขาอาชีพ เพื่อคัดเลือกกันเองให้เหลือ 200 คน และ 100 คน ตามลำดับก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร โดยกระบวนการยกร่างจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน นับแต่วันเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก หลังจากนั้นส่งร่างรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรี คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และองค์กรอิสระต่างๆ ให้ความเห็น และจัดให้มีการลงประชามติทั่วประเทศ ตลอดจนออกกฎหมายที่จำเป็นต่อการเลือกตั้ง ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปภายในเวลาไม่เกินหนึ่งปี นับจากเริ่มกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญ
   ผู้สนใจข่าวเกี่ยวกับการดำเนินการของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ตลอดจนแนวทางการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง สามารถหาข้อมูลได้ที่ เวบไซต์ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ www.mict.go.th/cdrc และของกระทรวงการต่างประเทศ www.mfa.go.th

หน้าที่ 1  2  3  4  5  6


รวมสาระ  counter power by www.seal2thai.org ดินแดนปัญญาชน