ข้อเท็จจริง
เกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครองในประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
4.ช่องว่างทางการเมืองขยายห่างออกไปทุกทีจนเนิ่นนานกว่าครึ่งปี
โดยไม่มีรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาที่สมบูรณ์
วิกฤติที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เป็นวิกฤติในทางการเมืองโดยตรง
แต่ส่งผลกระทบต่อสังคมมหาศาล
ดังที่ได้กล่าวแล้วในเรื่องการแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย
จนน่าวิตกว่าอาจมีการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน
ขณะเดียวกันก็กระทบต่อเศรษฐกิจด้วย
แม้แต่การบริหารราชการแผ่นดินก็พลอยชะงักงัน
เพราะนับแต่เมื่อมีการยุบสภาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549
คณะรัฐมนตรีเป็นอันสิ้นสุดลง
จึงไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดิน
คงมีก็แต่รัฐบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปดังที่มีผู้เรียกว่า
"รัฐบาลรักษาการ" (Caretaker Government) โดยไม่อาจกำหนดนโยบายใหม่ได้
สภาผู้แทนราษำรเองก็สิ้นสุด
จึงไม่มีองค์กรที่จะทำหน้าที่ออกกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้
วุฒิสภาก็หมดวาระไปก่อนแล้ว
ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ก็ยังประกาศไม่ครบถ้วน
นับเป็นช่องว่างทางการเมืองที่เกิดขึ้นพร้อมกันโดยไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศไทย
ดังนั้น เมื่อถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2549
อันเป็นการเริ่มต้นปีงบประมาณกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายจะไม่สามารถออกมาใช้บังคับได้ทัน
ซึ่งก็ต้องรอจนการเลือกตั้งครั้งใหม่สิ้นสุดลงและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้วเสร็จ
เป็นที่คาดหมายว่า
ถ้าปล่อยไปเช่นนี้กว่าจะมีกฎหมายงบประมาณใช้คงเป็นในรายเดือนพฤษภาคม 2550
อันเป็นเวลาที่ปีงบประมาณล่วงพ้นไปกว่าครึ่งปี
และปกติแล้วกฎหมายงบประมาณปีถัดไปจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้วด้วยซ้ำ
5.แนวโน้มการก่อความไม่สงบและความขัดแย้งที่รุนแรงถึงขีดสุด
ความรุนแรงสุดท้ายของปัญหาที่ประดังเข้ามาจนเหมือนตัวเร่งคือ
รายงานข่าวอันเป็นที่แน่ชัดในช่วงสองสามวันก่อนหน้าวันที่ 19 กันยายน 2549
ว่า ในวันพุธที่ 20 กันยายน 2549
ราษฎรสองฝ่ายที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันอยู่แล้ว ดังสาเหตุในข้อ 1
จะจัดชุมนุมใหญ่โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร
แม้บางคนบางฝ่ายจะชุมนุมด้วยความสงบโดยปราศจากอาวุธ
และเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยชอบ
แต่บางฝ่ายจะมีการนำประชาชนจากต่างจังหวัดจำนวนมากเคลื่อนเข้ามาชุมนุมด้วยเสมือนหนึ่งการประลองกำลัง
ซึ่งตามการข่าวที่ได้รับคือ ได้จัดหายานพาหนะ
เสบียงอาหารและอาวุธตามที่ฝึกปรือกันมาแล้ว เป็นที่เชื่อ่วาการชุมนุมครั้งนี้น่าจะรุนแรงหวังผลแตกหัก
โดยเกิดการยั่วยุจนถึงขั้นใช้กำลังเข้าปะทะกัน
อันจะนำมาซึ่งความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนอย่างใหญ่หลวง
หากมีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมหรือสลายการชุมนุม
ก็จะยิ่งยากต่อการดำเนินการในภาวะที่มีการเผชิญหน้ารุนแรงเสียแล้ว
จนอาจมีการใช้กำลังจากฝ่ายที่ไม่พึงปรารถนาสอดแทรกเข้าปฏิบัติการโดยปราศจากการควบคุมได้
สาเหตุทั้งหมดนี้ได้สรุปไว้แล้วในคำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(ฉบับชั่วคราว) ที่ว่า
"เหตุที่ทำการยึดอำนาจ...ก็โดยปรารถนาจะแก้ไขความเสื่อมศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน
ความไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
ทำให้เกิดการทุจริตและประพฤติมิชอบขึ้นอย่างกว้างขวาง
โดยไม่อาจหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้
อันเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงทางการเมืองการปกครอง
และปัญหาความขัดแย้งในมวลหมู่ประชาชนที่ถูกปลุกปั่นให้แบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย
จนเสื่อมสลายความรู้รักสามัคคีของชนในชาติ
อันเป็นวิกฤตการณ์รุนแรงทางสังคม"
คณะทหารและตำรวจซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เป็นผู้ที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์และต่อหน้าธงไชยเฉลิมพลแล้วว่าจะจงรักภักดีและรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้ายิ่งชีวิต
ทั้งจะดูแลรักษาผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยและประเทศชาติให้เกิดความสงบเรียบร้อย
แม้เรื่องราวที่ดำเนินมาจะเป็นเรื่องทางการเมืองการปกครอง
แต่บัดนี้ลุกลามถึงขั้นเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนของประชาชนทั่วไป
เป็นภัยคุกคามความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ
และเป็นพระราชปริวิตกจนมีพระราชกระแสต่อผู้นำทางตุลาการว่าเป็นวิกฤติที่สุด
คณะทหารเป็นผู้ดูแลรักษาเอกราชและอธิปไตยของประเทศย่อมไม่อาจเพิกเฉยอยู่ได้
จึงจำเป็นต้องเข้าคลี่คลายปัญหาและระงับยับยั้งภยันตรายอันใกล้จะถึงโดยด่วนที่สุด
เมื่อเห็นชอบร่วมกันจนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
จึงขอพระราชทานพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ
พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
กราบบังคมทูลถวายรายงานเพื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงเหตุผลและความจำเป็นตามข้อ
5 ข้างต้นนี้
รวมทั้งได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงแนวทางที่จะจัดการบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย
เรียกความสามัคคีปรองดองให้กลับคืนมาโดยเร็ว
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้ง พลเอก สนธิ บุญรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก
เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2549
เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและออกคำสั่งต่างๆ
ได้ตามความจำเป็น ซึ่งเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
และมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นบริหารราชการแผ่นดินแล้ว
ก็ได้มอบอำนาจหน้าที่ในส่วนนี้ให้แก่องค์กรและกลไกการปกครองตามปกติต่อไป
การมีพระบรมราชโองการดังกล่าวเป็นการนำคณะปฏิรูปการปกครองฯ
เข้ามาอยู่ในระบบภายใต้การปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เป็นการยืนยันความจงรักภักดีของคณะปฏิรูปการปกครองฯ
และการได้รับพระราชทานอำนาจภายใต้เงื่อนไขและกรอบเวลาอันจำกัด
มิให้ประพฤติปฏิบัติเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่ได้กราบบังคมทูล
อันเป็นวิธีปฏิบัติที่เคยดำเนินมาเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
หรือ รสช. กระทำการยึดอำนาจใน พ.ศ.2534 และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งเช่นเดียวกัน
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติขอยืนยันในความสุจริตและความประสงค์จะแก้ปัญหาที่สำคัญของชาติ
โดยเฉพาะในระยะเฉพาะหน้า เพื่อให้เหตุการณ์คลี่คลายลงโดยเร็วที่สุด
และเรียกความสามัคคีปรองดองกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด
สิ่งใดที่ต้องมีการตรวจสอบสอบสวนหรือดำเนินการเพื่อขจัดสิ่งอันเป็นเงื่อนไข
หรือสาเหตุของการยึดอำนาจและค้างคาอยู่ในใจของประชาชน
หรือแม้แต่จำเป็นต้องใช้วิธีกำหนดกฎเกณฑ์กติกาใหม่ไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันมิให้เกิดซ้ำขึ้นอีก
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะเร่งแก้ไขหรือประสานการดำเนินการร่วมกับผู้มีอำนาจหน้าที่ให้ได้คำตอบโดยเร็ว
แต่ทั้งนี้ ขอให้เป็นที่เข้าใจว่า เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อวันที่
1 ตุลาคม 2549 ไปแล้ว
อำนาจหน้าที่และบทบาทของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติมีขีดจำกัดอยู่เพียงตามมาตรา
34 ที่ว่า "เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ"
อันเป็นอำนาจหน้าที่โดยทั่วไปเท่านั้น
ไม่อาจเข้าไปแทรกแซงกลไกขององค์กรอิสระที่แม้จะตั้งขึ้นโดยคณะปฏิรูปการปกครองฯ
ก็ตาม ไม่อาจแทรกแซงการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
สมัชชาแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ และศาลทั้งหลาย
บทบาทที่มีอยู่จึงเป็นการติดตาม ประสานและขอความร่วมมือเท่านั้น
และตระหนักดีว่า การดำเนินการทุกอย่างขอให้ทุกฝ่ายมีความอดทน
เพราะจำเป็นต้องให้อยู่ในกรอบแห่งกฎหมายบ้านเมือง
เพื่อมิให้ได้ชื่อว่าลุแก่อำนาจ หรือกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรม
เพราะการลุแก่อำนาจหรือการกลั่นแกล้งผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม
เป็นพฤติการณ์ที่ประชาชนเคยรังเกียจและหวาดหวั่นมาแล้ว
และบัดนี้เป็นที่จับตาดูอยู่ทั่วโลก
ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่บัดนี้การพยายามดำเนินการ
มีผลคืบหน้าและเป็นที่เข้าใจแล้วในระดับหนึ่งตามสมควรแก่เวลา
และขอขอบคุณในความเข้าใจ ความปรารถนาดี
และคำแนะนำหลากหลายที่ประชาชนหลายท่านได้แจ้งให้ทราบ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติขอยืนยันว่า
การบริหารประเทศนับแต่นี้ไปเป็นเรื่องของคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะ
การทำหน้าที่นิติบัญญัติเป็นเรื่องของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยเฉพาะ
การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเรื่องของสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะไม่เข้าไปแทรกแซง
จะปฏิบัติหน้าที่เท่าที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนด
ซึ่งมีกรอบการปฏิบัติที่ไม่มากนัก
จะช่วยรัฐบาลดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติภายในกรอบกฎหมายตามอำนาจหน้าที่
โดยเฉพาะตามกรอบอำนาจบังคับบัญชาในฐานะผู้บัญชาการเหล่าทัพที่มีอยู่แล้วแต่เดิม
และจะให้การสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างเต็มกำลังความสามารถ
โดยขอยืนยันว่าจะไม่มีการสืบทอดอำนาจหรือรักษาอำนาจใดๆ
ต่อเนื่องยาวนานออกไปเป็นอันขาด
ด้วยเหตุว่าประเทศไทยมีบทเรียนในเรื่องเหล่านี้มากพอที่จะเป็นอนุสติควรแก่การหลาบจำได้อย่างดีอยู่แล้ว
แต่ขณะเดียวกัน ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่มีอยู่
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะไม่ยอมให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดอาศัยข้ออ้างใดๆ
เพื่อสร้างสถานการณ์กัดเซาะ หรือทำลายความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของชาติ
และพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้าเป็นอันขาด
หน้าที่ 1
2 3
4
5 6 |