กรณีนี้เป็นเรื่องของเขา ที่เขาประมาทขับขี่รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์มาชนเราหรือรถของเรา เราเองต้องคิดดูก่อนว่า เขามาชนเราเพราะเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นการแกล้งชนเรา เพื่อสร้างสถานการณ์ หากเป็นการชนโดยอุบัติเหตุจริงๆ การปฏิบัติเบื้องต้นให้ทำดังนี้
ในกรณีแรก เราต้องดูความเสียหายของการชนก่อนว่าเป็นอย่างไร มีการบาดเจ็บหรือไม่อย่างไร มีพยานหลักฐานที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร มีใครรู้เห็นเหตุการณ์บ้างหรือไม่ หรือขอดูบัตรประชาชนของคู่กรณี และรีบจดรายละเอียดของคู่กรณีและรถของคู่กรณีไว้ให้มากที่สุด เพื่อแจ้งตำรวจผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุทราบ เพื่อป้องกันการกลับคำให้การของคู่กรณีของเราในภายหลังในกรณีที่สอง เราต้องระงับความโกรธที่ถูกกระทำ ยิ่งเกิดกับคนที่เรารักหรือรถใหม่ของเรา ชนิดที่แมลงวันเกาะก็ยังโกรธเพราะกลัวรถเป็นรอย อุตส่าห์เช็ดขัดถูทุกวันด้วยความรัก แต่ไอ้หมอนี่ใครก็ไม่รู้ขับขี่รถภาษาอะไรของมัน มาชนรถของเราเสียจนบุบบิบบู้บี้อย่างนี้ เป็นใครก็เลือดขึ้นหน้าได้ง่ายๆ ยิ่งเรารักเราหวงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องระงับความโกรธของเราให้ได้มากเท่านั้น เพื่อจะได้ควบคุมอารมณ์ของเราให้ได้โดยเร็วที่สุด จะได้ไม่ทำอะไรที่ขาดสติจะเกิดการเสียหายใหญ่โตโดยไม่จำเป็น โดยให้นึกก่อนว่าไหนๆเรื่องก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรให้เหมือนเดิมได้ จึงต้องคิดไว้ว่า ทำอย่างไรจึงจะบรรเทาเบาบางความเสียหายที่เราได้รับ ตามเหตุตามผลและไม่มากไม่น้อยเกินไป โดยให้นึกถึงอกเขาอกเรา ว่าถ้าเราเป็นคนขับขี่ชนเขาเราจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เขาอย่างไร ถ้าคิดอย่างนี้ได้เรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งก็จะมองว่าเราไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ การเจรจาค่าเสียหายก็จะยิ่งง่ายขึ้น และจะได้รับชดใช้ค่าเสียหายได้เร็วขึ้นด้วย
ในกรณีที่สาม เราต้องไม่แสดงความยิ่งใหญ่ เบ่งกล้ามเป็นแมงป่องขู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยการอวงอ้างคนใหญ่คนโตเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเกรงกลัว เพราะถ้าอีกฝ่ายหนึ่งคิดว่าถึงอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะรับชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายเราได้ เขาจะเลือกให้เราใช้วิธีดำเนินคดีกับเขาแทนการชดใช้ค่าเสียหายให้กับเรา ซึ่งหากต้องถึงกับฟ้องร้องดำเนินคดี เราก็จะไม่ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายโดยเร็ว จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งเป็นผลเสียแก่ฝ่ายผู้เสียหายเป็นอย่างมาก ต้องเสียเงินทองมากมายก่ายกองในระหว่างดำเนินคดี ไหนจะค่าทนายไหนจะค่าใช้จ่ายจิปาถะ หรือใครว่าไม่จริงจะเถียงว่าทำได้ฟรี ก็จะได้ไปขอใช้บริการบ้าง อีกทั้งศาลจะดูเหตุผลดูพฤติการณ์ของเหตุว่า จะพิพากษาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายเท่าใดหรือไม่ เพียงใด ศาลไม่ได้พิพากษาตามจำนวนที่เราฟ้องร้องแต่ประการใดเลย อย่าเข้าใจผิดไปเชื่อคนอื่นง่ายๆ และหากพยานหลักฐานของฝ่ายเราไม่ดีพอ หรือเบิกความในศาลไม่ดีพอ หากศาลเห็นว่าฝ่ายเราก็เป็นฝ่ายที่ผิดด้วยแล้ว คดีของเราก็จะพลิกไปอย่างน่าเสียดาย เพราะการดำเนินคดีไม่แน่นอน คดีอาจแพ้หรือชนะคดีได้ตลอด ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และจนคดีถึงที่สุดแล้วนั่นแหละจึงจะรู้ว่าใครเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ในคดีจริงๆ คนที่ไม่เคยเป็นคดีความไม่รู้หรอกว่า สนุกตื่นเต้นเพียงใด จะเหมือนกับรายการไม่ลองไม่รู้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไร อาจารย์ก็ไม่อยากลองอย่างเด็ดขาดเพราะว่า กลัว จริงๆนะ จะบอกให้
ในประการที่สี่ ให้เราคิดเสมอว่าการดำเนินคดีไม่สนุกเหมือนเล่นตุ๊กตา ถ้าเราเลือกการดำเนินคดี เราจะต้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาไปควบคู่กันไป ซึ่งก็ยุ่งยากมาก ในคดีอาญาอัยการจะเป็นฝ่ายดำเนินคดีแทนผู้เสียหาย แต่ในคดีแพ่งเราจะต้องเสียเงินฟ้องร้องด้วยตัวของเราเอง และหากยังมัวแต่มะงุมมะงาหรา ไม่ยอมฟ้องศาลสักทีจนคดีเกินกว่า 1 ปีนับแต่วันเกิดเหตุ คดีก็ขาดอายุความ เมื่อเรานึกขึ้นได้รีบมาฟ้องในภายหลังเช่นนี้ นอกจากเสียเงินเสียทองเพื่อฟ้องคดีแล้ว และหากคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต่อสู้คดีว่าเป็นการฟ้องที่ขาดอายุความแล้ว ศาลก็ต้องยกฟ้องคดีของเราไปอย่างน่าเสียดาย ที่ไม่ได้รับการชดเชยอะไรเลย นอกจากคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาว่ายกฟ้องโจทก์ พร้อมกับให้เหตุผลว่ายกฟ้องเพราะอะไรไว้ดูต่างหน้า ประเภทเสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้านี่ซิ เก็กซิมในใจจริงจริ๊ง ทีนี้ในกรณีการขับขี่รถชนกันในลักษณะนี้ ยังมีข้อควรจำอีกหลายประการดังนี้
ข้อควรจำประการที่หนึ่ง ต้องพิจารณาดูให้ดีว่า การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ เกิดจากการจงใจหรืออุบัติเหตุจริงๆ เราต้องอ่านให้ออก หากเราอ่านไม่ออกจะเกิดผลเสียกับเราขึ้นได้ เช่น การเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต้องการอะไรบางอย่าง แต่เรากลับคิดว่าเป็นอุบัติเหตุธรรมดา เราอาจจะถูกจับตัวหรือถูกจี้ทำร้ายได้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆมาก ต้องระวังให้มาก อย่าไว้ใจใครง่ายๆนะ ขอบอก
ข้อควรจำประการที่สอง ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อรอตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุนั้น ถ้ามีกล้องถ่ายรูปก็ต้องรีบถ่ายรูปเก็บรายละเอียดของ ลักษณะการชน ความเสียหาย ถ่ายสถานที่เกิดเหตุ หากมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ก็ขอชื่อที่อยู่ของพยานไว้ด้วย และหากสถานที่เกิดเหตุเป็นที่มืดมองไม่ค่อยเห็น หรือกีดขวางทางจราจร จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายรถ หรือคนออกจากสถานที่เกิดเหตุ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายต้องกำหนดจุดไว้บนพื้นถนนว่า คนนอนอยู่ตรงไหน รถชนกันลักษณะอย่างไร หันหน้ารถไปทางไหน แล้วจึงเคลื่อนย้ายรถหรือคนออกจากที่เกิดเหตุ พอตำรวจมาก็บอกเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุทราบให้ละเอียด และในกรณีนี้ก็ใช้กับการชนกันในขณะที่ฝนตกด้วย เพราะร่องรอยต่างๆหรือรอยเลือดอาจจะถูกน้ำฝนชะล้างไปได้ เราจึงต้องใช้ก้อนหินหรือทำเครื่องหมายต่างๆ แทนร่องรอยต่างๆด้วยที่คิดว่าเป็นจุดที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่คดี คิดว่าคงจะไม่ยากเย็นแสนเข็ญเกินไปที่จะทำแบบที่อาจารย์บอกนี้นะ
ข้อควรจำประการที่สาม อย่าเพิ่งลงชื่อหรือเซ็นต์ชื่อลงในเอกสารใดๆก่อนที่จะได้ปรึกษากับผู้รู้จริงๆ ขอเน้นว่า ผู้รู้จริงๆนะครับ ผู้รู้เล่นๆไม่เอา หรือคนที่เราไว้วางใจ เนื่องจากการทำบันทึกหลักฐานใดๆก็ตาม เป็นการกระทำตามกฎหมาย ภาษาที่ใช้เป็นภาษาของกฎหมายค่อนข้างยากแก่การที่จะเข้าใจได้ทั้งๆที่เป็นภาษาไทยแท้ๆ หากไม่แน่ใจอย่าลงชื่อลงในเอกสารใดๆอย่างเด็ดขาด เพราะหากเป็นเอกสารที่มีข้อความที่ใครๆอ่านก็เข้าใจได้ว่า เราเป็นฝ่ายผิดหรือเป็นเอกสารที่แปลความหมายแล้วแปลได้ว่าเราไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดกับคู่กรณีอีกต่อไป ดังนี้ แม้เราเป็นฝ่ายถูกก็จริงเราก็ไม่สามารถที่จะเรียกร้องค่าเสียหายกับคู่กรณีได้เพราะเราเซ็นต์ชื่อยอมรับข้อตกลงไปแล้ว พยานหลักฐานที่เป็นพยานเอกสารก็เห็นอยู่ทนโท่อย่างนี้ ยังจะมาปฏิเสธว่าไม่ใช่อีก อย่างนี้เห็นทีจะสู้คดีลำบาก เป็นการจำนนด้วยพยานหลักฐานประเภทเอกสาร ที่เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ อย่างนี้น่าเขกหัวตัวเองสัก 3 โป๊กที่ใจเร็วด่วนได้ไปหน่อย อย่าลืมความสำคัญในข้อนี้ด้วย หากไม่แน่ใจอย่าเซ็นต์ในเอกสารใดๆอย่างเด็ดขาด วันหลังมาเซ็นต์ก็ได้ ไม่ได้เซ็นต์ชื่อวันนี้ไม่เป็นอะไรหรอกน่า จะรีบไป ถึงไหน (เติมข้อความเอาเองนะครับ .อาจารย์คิดไม่ออกจริงๆ)
ข้อควรจำประการที่สี่ เมื่อเห็นว่าการเจรจาเรียกค่าเสียหายจากคู่กรณีไม่เป็นผลแล้ว หรือคู่กรณีไม่มีการเจรจาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายเราเลยแม้แต่บาทเดียว หรือประเภทคู่กรณีเป็นคนหัวหมอเจ้าถ้อยหมอความ ก็ให้เรารีบดำเนินคดีตามความประสงค์ของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยเร็วเลย ไม่ต้องมัวรีรอให้คดีหมดอายุความ เมื่อตกลงปลงใจแล้วว่าฟ้องแน่แล้ว จากนั้นก็ให้รีบคัดสำเนาบันทึกประจำวันเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถชนกันไว้เป็นหลักฐาน ทำแผนที่เกิดเหตุจำลองภาพการชนกันเป็นอย่างไร ขณะเกิดเหตุมีการถ่ายรูปไว้ไหม ถ้าถ่ายรูปไว้ก็เอารูปถ่ายมาคัดเฉพาะภาพเจ๋งๆ ชนิดที่ใครเห็นรูปก็รู้ว่าไอ้หมอนี่ผิดแน่นอน จากนั้นก็รวบรวมความเสียหายว่ารถของเราต้องเสียค่าซ่อมเท่าไหร่ ไปประเมินค่าซ่อมมา จากนั้นก็ดูอีกว่ามีอะไรเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้บ้าง หรือไม่ เช่นไม่มีรถใช้ต้องเสียเงินค่าจ้างรถหรือเช่ารถคนอื่นมาขับเป็นเงินเท่าไหร่ก็จดบันทึกไว้ รถที่ถูกชนแล้วเสื่อมสภาพเพราะว่าไม่มีทางดีเหมือนเดิมได้ก็จดไว้ด้วยว่าค่าเสื่อมสภาพเท่าไหร่ และในการชนครั้งนี้มีใครบ้างที่เลือดตกยางออก เสียค่ารักษาพยาบาลไปเท่าไหร่ แขนหลุดขาหลุดหรือไม่ เราเรียกค่าเสียอวัยวะได้หมด แต่ถ้าคอหลุดก็ไม่ต้องเรียกค่าเสียอวัยวะนะครับ .ขอร้อง เพราะว่า ก็คงไม่มีทนายคนไหนมาคอยอยู่รอเรียกค่าคอหลุดให้หรอก บรื๊อ ..น่ากลัวออก และหากในการชนกันครั้งนี้ต้องมีผู้ไปเกิดใหม่ตั้งแต่หนึ่งท่านขึ้นไป ก็สามารถเรียกค่าเสียหายได้ ค่าเสียหายนี้สามารถเรียกได้มากมายหลายๆอย่างจนจำไม่หวัดไม่ไหว จึงจะขอยกยอดไปไว้ในเรื่องของการเรียกค่าเสียหายนะครับ และก่อนดำเนินคดีให้ออกแรงสืบสักนิดด้วยว่ารถของคู่กรณีดังกล่าวมีการทำประกันประเภทต่างๆไว้หรือไม่ เพื่อจะได้ให้เกียรติดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นจำเลยไปพร้อมๆกันไปเลย เพราะหากคู่กรณีไม่มีเงินชดใช้ค่าเสียหายให้กับเรา ก็จะได้เรียกเอากับบริษัทประกันให้ชำระหนี้แทนคู่กรณีได้ ถ้าหากในสัญญาประกันมีข้อความระบุว่า ให้ใช้ค่าเสียหายแทนคู่กรณีได้ เพื่อความไม่ประมาทไงละพวก ขอบอก
[หน้าแรก] [รวมสาระ] [แสดงความเห็นในกระดานถามตอบ]
สภาทนายความภาค 6 www.lawsociety6.org
power by seal2th