1. รถของเราขับขี่ไปชนคนอื่นหรือรถของคนอื่น

 

            เป็นเรื่องที่เราขับขี่รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ไปเฉี่ยวชนหรือชนกับรถจักรยานยนต์หรือ รถยนต์ของคนอื่นเข้าหรือชนคนเลยอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจงใจหรือประมาทก็ตาม เป็นเรื่องที่สามัญสำนักของคนทั่วไปก็รู้ว่าเราเป็นฝ่ายผิดแน่นอน ในกรณีเช่นนี้ ในทางปฏิบัติของเรานั้นเราต้องพิจารณาดูว่า เราเป็นฝ่ายผิดจริงๆไหม หรือว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดด้วย หรือคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดแน่ๆ เพราะเหตุที่เราชนเขานั้นก็เพราะตัวเขาตั้งใจให้เราชน หรือการชนเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ เราต้องคิดเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรกๆ

        ทีนี่เมื่อเรารู้ว่า จริงๆแล้วเราเป็นฝ่ายผิดจริงๆ แท้แน่นอน ไม่มีทางปฏิเสธได้ เราก็ต้องรีบขอโทษขอโพยฝ่ายผู้เสียหายด้วยกริยาอ่อนน้อมถ่อมตนถ้ากราบได้ก็กราบงามๆสัก 3 ที ว่า เราเองไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ และเหตุที่เกิดขึ้นนี้เป็นเหตุสุดวิสัยสุดที่จะควบคุมได้ พร้อมกันนี้ก็ให้เรายืดอกแสดงตัวว่า เราขอยอมรับผิดในทุกกรณี และจะไม่โต้แย้งข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น จากนั้นถ้าเราช่วยเหลือฝ่ายผู้เสียหายได้ ก็ให้พยายามแสดงน้ำใจช่วยเหลือเท่าที่เราจะสามารถช่วยเหลือได้ และหากไม่มีเหตุการณ์ที่จะทำให้เราไม่ได้รับความปลอดภัย เราก็ควรที่จะต้องอยู่ในที่เกิดเหตุจนกว่าตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุ เมื่อตำรวจมาถึงก็รีบรายงานตัวให้ตำรวจทราบโดยทันทีว่า เรานี่แหละเป็นคนขับขี่รถไปชนเขาและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการแก้ไขในเหตุที่เกิดขึ้นอย่างเต็มกำลังความ สามารถเลยแหละ พร้อมทั้งบอกชื่อจริงนามสกุลจริงว่าชื่ออะไร มีที่อยู่ที่ไหน ทำงานหรือเรียนอยู่ที่สถาบันแห่งใด มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับหรือไม่ เบอร์อะไร และถ้ามีบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรนักศึกษาก็ควักออกมาแสดงตัวด้วย ในขณะที่รอตำรวจสอบปากคำพยานและตรวจสถานที่เกิดเหตุ ก็ให้เรากระซิบถามตำรวจด้วยว่า เรื่องแบบนี้เราต้องทำเรื่องประกันตัวหรือไม่ ถ้าตำรวจเห็นว่าเราไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และเหตุเฉี่ยวชนก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่ถลอกนิดหน่อย ตำรวจก็อาจจะบอกกับเราว่าไม่ต้องทำเรื่องประกันตัวก็ได้ แต่ขอให้ตำรวจสอบข้อเท็จจริงและสอบปากคำจากเราเบื้องต้นก่อน เมื่อตำรวจสอบถามเบื้องต้นเสร็จแล้วตำรวจก็จะปล่อยตัวเรากลับบ้าน อย่างนี้เขาเรียกว่าดวงเฮงกำลังมา แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายแรงคอขาดบาดตายหรือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนอนลิ้นแลบกลางถนน เรียกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่นอย่างนี้ เขาเรียกว่าความซวยกำลังมาเยือน ก็ให้เรารีบติดต่อไปยังญาติพี่น้องหรือคนรู้จักให้มาทำเรื่องประกันตัวโดยเร็วที่สุด หรือถ้ารถของเราทำประกันชั้นหนึ่งหรือประกันประเภทหนึ่งหรือประกันประเภทที่คุ้มครองเราไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูกไว้ อย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ให้เรารีบใช้บริการทันที โดยแจ้งทางบริษัทประกันให้รีบมาทำเรื่องประกันตัวให้เราโดยเร็วที่สุดเพราะใจคอไม่ค่อยจะดีแล้วรีบมาด่วนนะ ถ้าเราเป็นลูกค้าชั้นดีบริษัทประกันจะรีบแจ้นมาทันทีทันใจเลย พร้อมกับทำเรื่องประกันตัวให้กับเรา หลักฐานที่ต้องใช้ก็มีก็เช่นบัตรประชาชน สำเนาหรือคู่มือการจดทะเบียนรถเป็นเบื้องต้น เราต้องเตรียมให้พร้อม โดยการทำเรื่องประกันตัวก็ทำที่สถานีตำรวจท้องที่ ที่เกิดเหตุนั่นแหละ และหากตำรวจเห็นว่าความผิดของเราสามารถที่จะเปรียบเทียบปรับได้ ตำรวจก็จะทำการเปรียบเทียบปรับเรา เราก็ต้องมีเงินพร้อมที่จะเสียค่าปรับในวันนั้นเลย และหากตำรวจไม่เปรียบเทียบปรับแต่จะส่งเรื่องถึงศาลก็ได้แล้วแต่ดุลพินิจของตำรวจ เมื่อทำเรื่องประกันตัวเสร็จตำรวจก็จะนัดให้เรามาสอบปากคำหรือนัดให้มาเจรจากับฝ่ายผู้เสียหายในภายหลัง จากนั้นตำรวจก็จะเชิญตัวเราออกไปจากสถานีตำรวจเพราะว่า เกะกะสถานที่จะได้ทำคดีอื่นๆต่อไป ยกเว้นถ้าเราคิดว่าเราเป็นหญิงสาวที่สวยจริงๆ ก็อาจจะอยู่นานหน่อยก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร ดีเสียอีกบรรยากาศในโรงพักจะได้สดชื่นแก่ผู้พบเห็น แต่ต้องเป็นคนสวยจริงๆนะ ไม่ใช่คิดเอาเองคนเดียว

และในระหว่างที่เราถูกปล่อยตัวไป หากการชนกันดังกล่าวมีผู้บาดเจ็บ เราต้องแสดงน้ำใจถือของฝากเล็กๆน้อยๆไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บบ้างตามที่โอกาสอำนวย และเมื่อถึงวันที่ตำรวจเรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเพื่อไปไกล่เกลี่ย เพื่อให้ฝ่ายเราชดใช้ค่าเสียหาย ให้เราเสนอชดใช้ค่าเสียหายตามสมควรแก่ความเสียหาย ไม่มากไม่น้อยเกินไป ให้นึกถึงอกเขาอกเราในการเจรจา และหากการเจรจาในชั้นนี้ยังไม่สำเร็จเนื่องจากฝ่ายคู่กรณีต้องการค่าเสียหายที่มากเกินไป ก็อาจจะมีการเจรจาในภายหลัง 2 รอบ 3 รอบก็ได้ ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ แต่ขอให้ในการเจรจาค่าเสียหายนั้นให้เจรจาพาทีด้วยกริยามารยาทที่ดี หากอีกฝ่ายหนึ่งใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ก็ห้ามไปตอบโต้ด้วยอารมณ์ต้องใช้ การนิ่งสงบสยบการเคลื่อนไหว เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งอารมณ์ดีขึ้นค่อยเจรจากันใหม่ และหากเห็นว่าการเจรจาครั้งนี้ไม่มีทางสำเร็จแน่ๆ ก็ขอนัดเจรจาในวันใหม่ได้เช่นกัน ซึ่งการนัดเจรจากันแต่ละครั้ง ก็แล้วแต่วันว่างของตำรวจและคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ไม่มีกำหนดตายตัว

ข้อสำคัญในการเจรจาในกรณีฝ่ายเราเป็นฝ่ายผิด ห้ามเจรจาด้วยการข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าเราจะรู้จักคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจบารมีก็ตาม ห้ามแอบอ้างในขั้นตอนนี้ เพราะจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ และไม่ไว้ใจฝ่ายเรา การเจรจาค่าเสียหายก็อาจจะล้มเหลวลงได้ หากเรื่องถึงกับต้องมีการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลแล้ว ค่าใช้จ่ายอื่นๆจิปาถะจะตามมามากมาย อีกทั้งคดีของเราก็ไม่สามารถที่จะพลิกจากเป็นฝ่ายผิดให้กลายเป็นฝ่ายถูกได้ ถ้าใครบอกว่าช่วยได้ก็อย่าไปเชื่อ เพราะพยานหลักฐานมั่นคงชัดเจนแน่นอนตามสำนวนของตำรวจใครจะช่วยได้ และหากในคดีดังกล่าวฝ่ายผู้เสียหายต้องบาดเจ็บหรือมีคนตายด้วยแล้ว โอกาสที่เราจะถูกศาลพิพากษาจำคุกก็มีโอกาสสูงเช่นกัน เพราะศาลไม่มีเหตุอันควรปราณีลดโทษให้กับเราตามกฎหมายได้ จึงเห็นอยู่บ่อยๆว่า ผู้ขับขี่รถโดยประมาท ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกโดยไม่มีการรอการลงโทษก็มีให้เราเห็นเป็นประจำเลย เราจึงไม่ควรที่จะเป็นบุคคลเช่นนั้น ซึ่งการเจรจากันหรือในการดำเนินการทางคดีเกี่ยวกับกรณีนี้ มีข้อควรจดจำหลายข้อเช่นกัน ดังนี้

ข้อควรจำประการที่หนึ่ง หลังเกิดเหตุเราไปที่สถานีตำรวจแล้ว การเจรจายังไม่เป็นที่ยุติ เราควรจะต้องแสดงตัวด้วยการลงบันทึกประจำวันไว้ด้วยว่าวันนี้เรามาทำอะไรที่สถานีตำรวจ เพื่อเป็นหลักฐานไว้ว่าเรามาเจรจากับฝ่ายผู้เสียหายด้วยดีตลอด ไม่ได้ขาด เพราะหากเราไปสถานีตำรวจแล้วแต่ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่ามาเจรจาแล้ว หากในภายหลังต้องมีการต่อสู้คดีกันในชั้นศาล เราก็จะไม่มีพยานหลักฐานใดๆมาแสดงต่อศาล เพื่อขอความเห็นใจจากศาลได้ว่าในกรณีนี้ฝ่ายเราได้พยายามเจรจาด้วยดีแล้ว แต่ฝ่ายผู้เสียหายไม่ยอมเจรจาด้วยดีและจะเรียกร้องค่าเสียหายมากมายเกินเหตุ อย่างนี้ศาลท่านก็ไม่ยอมแน่ๆ ศาลอาจพิพากษาตามดุลพินิจ ส่วนค่าเสียหายก็ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเอาเอง อย่างนี้ก็พบเห็นบ่อยๆ เราควรทำเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ดีกว่า

ข้อควรจำประการที่สอง ต้องอ่านเกมส์การชนครั้งนี้ให้ขาดว่า การที่เราขับขี่รถไปชนเขานั้น เป็นการชนในลักษณะที่เป็นอุบัติเหตุจริงๆ หรือเป็นการแกล้งมาให้เราชนเพื่อจะปล้นทรัพย์หรือเพื่อเหตุผลประการอื่น ในข้อควรระวังนี้ไม่เฉพาะแต่ผู้หญิงเท่านั้น แม้แต่เป็นผู้ชายก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะคนที่ถูกอุ้มไปเป็นผู้ชายก็มาก ดังปรากฏตามข่าวหนังสือพิมพ์ทั่วไป เราจะต้องระมัดระวังในกรณีนี้ไว้ด้วยเป็นพิเศษ อย่าเผลอเป็นอันขาด หากเราดูแล้วว่าเป็นการตั้งใจให้เราชนเขา เพื่อเรียกร้องทรัพย์สินหรือเป็นการเพื่อปล้นทรัพย์หรือต้องการจับตัวของเรา หรือเราไม่แน่ใจก็ห้ามหยุดรถหรือลงจากรถอย่างเด็ดขาด ให้ขับขี่รถออกไปทันทีและไปแจ้งเหตุที่สถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดเพื่อสร้างพยานหลักฐานไว้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ในภายหลัง พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์กับตำรวจที่รับแจ้งเหตุให้ละเอียด ทั้งเรื่องบุคคลหรือรายละเอียดของรถหรือบุคคลที่เราชนด้วย อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่ารักษาตัวรอดเป็นยอดดี ส่วนจะผิดหรือถูกอย่างไร เป็นเรื่องของตำรวจที่จะสอบสวนในภายหลัง

ข้อควรจำประการที่สาม หากเป็นการขับขี่รถชนกันในที่ห่างไกลหรือที่เปลี่ยวหรือในเวลากลางคืน ในเราสันนิษฐานในเรื่องความปลอดภัยของตัวเราและทรัพย์สินของเราไว้ด้วย ห้ามลืมเป็นอันขาด เช่นในกรณีขับขี่ไปชนคนหรือรถของคนอื่นในที่ห่างไกลตัวเมืองมากๆ บางครั้งเราไม่รู้ว่าในสถานที่นั้นๆคนแถวนั้นมีนิสัยใจคออย่างไร พวกเขารักพวกพ้องกันมากขนาดไหน เมื่อเราขับขี่ไปชนคนหรือรถของเขาขึ้นมา บางครั้งพวกเขาไม่ยอมรับฟังเหตุฟังผล ไม่ว่าเราจะพยายามเจรจาด้วยดีขนาดไหนก็ตาม จะพากันมารุมทำร้ายเราอย่างเดียวเพื่อระบายความแค้นอย่างนี้ก็มีตัวอย่างอยู่มากมาย หรือในกรณีเกิดการชนกันในที่เปลี่ยวหรือเวลากลางคืน ให้เราคิดในทางไม่ดีไว้ก่อน ห้ามหยุดรถหรือดับเครื่องยนต์แล้วออกจากรถไปเจรจากับคู่กรณีอย่างเด็ดขาด หากเห็นว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็ให้รีบเร่งเครื่องออกจากสถานที่นั้นๆโดยเร็ว เพื่อไปที่สถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดเพื่อแจ้งเหตุ พร้อมทั้งแสดงชื่อที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อกลับหาเราได้อย่างชัดเจนเพื่อให้ตำรวจติดต่อเราได้ในภายหลัง ซึ่งก็มีหลายกรณีเช่นกันที่เราชนเขาแต่เป็นฝ่ายไม่ผิด เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย หรือพอตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว ปรากฏว่าเป็นการแสดงละครของคนร้ายที่ต้องการปล้นทรัพย์ ไม่มีผู้เสียหายอยู่ในที่เกิดเหตุเลย กรณีนี้เรียกว่าคนร้ายเจ็บตัวฟรี ว่าอย่างนั้นเถอะ กรณีเช่นนี้ก็เจอกันมามากมายเช่นกัน ( แหมถ้ารู้ว่าจะมาปล้นอย่างนี้จะชนให้หัวหลุดไปเลย …..แฮ่ๆ ล้อเล่นน่ะ….อย่าทำจริงๆนะ )

หน้า 1  2  3  4  5  [หน้าต่อไป]

[หน้าแรก] [รวมสาระ] [แสดงความเห็นในกระดานถามตอบ]

สภาทนายความภาค 6 www.lawsociety6.org 

www.seal2thai.org

counter power by seal2th