ใครว่า ทำดีต้องรอผลชาติหน้า
เรื่องนี้เกิดกับตัวผมเอง
และเป็นเรื่องที่เชื่อว่า คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยความเป็นความตายของลูกศิษย์เราเลย
คนเป็นครูทุกคน ย่อมมีความรัก
ความห่วงใยในลูกศิษย์ของตนเองทั้งนั้น นั่นเพราะคนเป็นครูที่แท้จริง
จะถูกหล่อหลอมให้เป็นผู้ให้มากกว่าแค่คนที่มาสอนให้ความรู้เพียงอย่างเดียว
เพราะครูที่แท้ ต้องมีจิตวิญญาณทั้งกายและใจ
ผมไม่อยากเชื่อว่า
เรื่องเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับผมในขณะที่อายุราชการเกือบหกปีเท่านั้น
(ผมหมายถึง มันเร็วมาก) นั่นก็คือ การที่ลูกศิษย์ของผมถูกล่อลวงไป
ผมทราบข่าวเรื่องนี้เมื่อวันที่ 6 กันยายน
2554 ที่ผ่านมา
ทั้งๆที่เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1
กันยายน แต่เพราะว่าโรงเรียนถูกน้ำท่วม ไม่สามารถไปสอนและเรียนได้
จึงเป็นช่องทางให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้
แม้ว่าตัวผมจะไม่ใช่ครูประจำชั้น
แต่นักเรียนคนนี้ก็ได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และคอมพิวเตอร์กับผม
อีกทั้งยังเป็นสมาชิกชุมนุมนักคิดของผมอีกด้วย
ด้วยความห่วงลูกศิษย์คนนี้
ผมเลยใช้ Social Network
เป็นเครื่องมือในการประกาศข่าวสาร และใช้ website
ของผมเว็บนี้ เป็นตัวกลางสื่อสาร เพราะสามารถอัพเดทข้อมูลได้เอง
ร่วมไปถึงการส่งต่อ email
ประกาศตามหานักเรียนหาย
บางท่านคิดว่า ผมตามหาเด็กหาย
(เด็ก ตามความหมายที่ว่า ป๋าเลี้ยงเด็ก) เพราะโพสต์ข้อความที่ดูเป็นห่วงเสียเหลือเกิน
บางท่านคิดว่า เด็กน่าจะสมยอมไปเอง ไม่ได้ถูกลักพาตัวไป
ผมคงไม่สามารถไปบังคับให้ใครคิด
หรือไม่คิดอย่างไรได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงกระตุ้นให้ผมทำอย่างเต็มที่คือ
เด็กนักเรียนคนที่ถูกล่อลวงไป มีความผิดปกติทางการเรียนรู้
พัฒนาการทางสมองช้า การเรียนรู้ การเขียน และการพูด
ไม่เหมือนกับเด็กปกติในช่วงวัยเดียวกัน ... แค่ช่วยเหลือตัวเองก็ยากแล้ว
ตั้งแต่วันที่
7 กันยายน ผมนั่งโพสต์ และส่งข้อความไปหาเครือข่ายในสังคม
รวมถึงแจ้งข่าวทุกๆคน อย่างน้อยๆ ให้หลายๆท่านได้เห็นภาพ
ได้เห็นหน้าค่าตาบ้างก็ยังดี (เล่นเอานอนตีหนึ่งทุกวัน)
วันที่ 14
กันยายน ผมกำลังจะหยุดพักทานข้าวมื้อเย็น ช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็น
ตอนแรกว่าจะปิดคอมพิวเตอร์เพื่อพักเครื่องหลังจากที่เปิดมาตั้งแต่แปดโมงเช้า
แต่ก็เหมือนมีอะไรดลใจให้ลอง search
หาข่าวบนอินเทอร์เน็ตอีกครั้ง พบว่า มีหนังสือพิมพ์ออนไลน์แจ้งข่าวว่า
พบตัวแล้วที่นครสวรรค์ ผมดีใจมาก (กระโดดบ้านแทบพัง) แต่เพื่อความแน่ใจ
เลยต้องโทรสอบถามไปทางแม่ของเด็กอีกครั้งก่อน ก็เลยรู้ว่า
ตอนนี้กำลังตรวจร่างกายอยู่ที่โรงพยาบาลบางระกำ
ผมจึงได้แจ้งข้อมูลล่าสุดบนหน้าเว็บ
เผื่อพี่น้องที่ติดตามช่วยเหลือส่งข่าวจะได้รู้พร้อมกัน
วันที่ 15
กันยายน
ผมขี่มอเตอร์ไซค์ลุยน้ำเข้าไปถามข้อมูลถึงบ้านของเด็กนักเรียน
แล้วก็แวะไปหานักเรียนที่อยู่แถวๆนั้น กะว่าจะไปไม่นาน
เลยไปจนถึงสิบเอ็ดโมงเลย จึงไปแวะทานข้าวที่ร้านในอำเภอ
หลังจากทานเสร็จ
ก็แวะไปคุยกับป้าคนหนึ่งที่สอนอยู่โรงเรียนเดียวกัน กะว่าจะคุยกันเล่นๆ
แล้วป้าก็ชวนไปบ้านของพี่คนหนึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ผมตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด
(ไม่รู้ทำไมนะครับ แต่มีความรู้สึกว่า อยากไป) แล้วสิ่งที่เป็นคำตอบว่า
ทำไมถึงอยากไป เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์อยากมอบรางวัลให้นั่นเอง ...
ผมได้ไปเห็นและได้กราบบูชาพระธาตุของหลวงตามหาบัวแบบชัดๆ ใกล้ๆ
ไม่มีอะไรกั้นระหว่างสายตากับองค์พระธาตุเลย แถมได้ของดีกลับบ้านอีกเพียบ..
(ป้าที่พาไปก็บอกว่า ปกติ พี่คนนี้จะไม่ค่อยอยู่บ้าน เวลาเค้าโทรมาชวน
ป้าแกจะรีบมาทันที แต่เมื่อวานแกไม่อยากมา สงสัยจะรอผม...
ป้าแกว่าอย่างนั้น)
ผมก็เชื่อว่า ผลของการทำความดี
ไม่ต้องรอให้ตอบแทนถึงชาติหน้า เพราะอย่างที่เห็น ของผมแค่ข้ามคืน
ผมมานั่งคิดว่า จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นพระธาตุของท่านอย่างใกล้ชิดขนาดนั้น
แต่อีกประการหนึ่งคือ เด็กนักเรียนของผมมีชีวิตรอดปลอดภัยกลับบ้าน
โดยไม่ถูกล่วงล้ำก้ำเกิน นั่นก็ยิ่งกว่าการได้รับรางวัลครูดีเด่นอีกนะครับ
(คลิกอ่านประสบการณ์วันนั้นเลยนะครับ)
เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ยืนยันว่า การทำความดี ไม่ต้องรอผลชาติหน้าเลย
แล้วถ้าทำชั่วละ เวรกรรมจะเร็วขนาดไหน เผลอๆในนรก เค้ารับส่งข้อมูลด้วยระบบ
4G 5G กันแล้วนะครับพี่น้องดินแดนปัญญาชน
หากผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
ท่านสามารถอ่านบทความนี้ได้ที่
http://www.seal2thai.org/sara/sara232.htm
free toolbar
ขอบคุณครับที่ทำ link
และอ้างอิงมาหาเรา
นึกว่าในสังคมจะไม่มีคนให้เกียรติคนอื่นเหลืออยู่อีกแล้ว
|
ให้คะแนนข้อเขียนนี้ กี่ดาวดีครับ... |
|
|