|
พลังงานศักย์ พลังงานจลน์
พลังงานกล
|
คุยเท่าที่รู้
กับครูแชมป์ SEAL2thai.org |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ให้กำลังใจเว็บ
SEAL2thai ด้วยนะจ๊ะ |
|
พลังงาน
(อย่าลืมให้
like
บทความนี้
ด้านท้ายบทความด้วยนะครับ)
ทบทวนเรื่องพลังงานศักย์ พลังงานจลน์
พลังงานกล กันเถอะ
|
พลังงานศักย์
พลังงานจลน์ พลังงานกล
ตามคำนิยามของนักวิทยาศาสตร์ พลังงงาน (Energy) คือ ความสามารถในการทำงาน
(Ability to do work)
โดยการทำงานนี้อาจจะอยู่ในรูปของการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนรูปของวัตถุ ก็ได้
การจำแนกพลังงานตามลักษณะการทำงาน
1. พลังงานศักย์ (Potential Energy)
เป็นพลังงานที่เกิดขึ้นเมื่อวัตถุถูกวางอยู่ในตำแหน่งที่สามารถ
เคลื่อนที่ได้ไม่ว่าจากแรงโน้มถ่วงหรือแรงดึงดูดจากแม่เหล็ก เช่น
ก้อนหินที่วางอยู่บนขอบที่สูง
2. พลังงานจลน์ (Kinetic Energy)
เป็นพลังงานที่เกิดขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ เช่น รถที่กำลังวิ่ง
ธนูที่พุ่งออกจากแหล่ง จักรยานที่กำลังเคลื่อนที่ เป็นต้น
3. พลังงานสะสม (Stored Energy)
เป็นพลังงานที่เก็บสะสมในวสัดุ หรือ
สิ่งของต่างๆ เช่น พลังงานเคมีที่เก็บสะสมไว้ในอาหาร ในก้อนถ่านหิน น้ำมัน
หรือไม้ฟืน ซึ่งพลังดังกล่าว
จะถูกเก็บไว้ในรูปขององค์ประกอบทางเคมีหรือของวัสดุหรือสิ่งของนั้นๆ
และจะถูกปล่อยออกมาเมื่อวัสดุหรือสิ่งของดังกล่าวมีการเปลี่ยนรูป เช่น
การเผาไม้ฟืนจะให้พลังงานความร้อน เป็นต้น
ทั้งพลังงานศักย์และพลังงานจลน์
ล้วนเป็นพลังงานกลที่สามารถเปลี่ยนรูปกลับไป กลับมาได้
พลังงานศักย์จะสะสมอยู่ในวัตถุที่พร้อมจะเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่
ขณะที่พลังงานจลน์เป็นพลังงานที่อยู่ในวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่
และตามกฏการอนุรักษ์พลังงานค่าของพลังงานกลจะคงที่
ดังนั้น
พลังงานกล = พลังงานศักย์ + พลังงานจลน์
เสมอ
เมื่อพลังงานในระบบ (พลังงานกล) คงที่ แล้วพลังงานศักย์เพิ่มขึ้น
พลังงานจลน์จะลดลง แต่ถ้า พลังงานศักย์ลดลง พลังงานจลน์จะเพิ่มขึ้น
ที่เพิ่มเติมคือ พลังงานศักย์ที่พบมาก มี 2 ชนิด
1. พลังงานศักย์โน้มถ่วง
เกิดจากพลังงานที่สะสมไว้ในวัตถุที่อยู่สูงขึ้นไป
กล่าวง่ายๆ คือ
พลังงานที่สะสมอยู่ในวัตถุเมื่อเราทำให้มันอยู่ในระดับสูงขึ้นกว่าเดิม
เช่นยกก้อนหินขึ้นข้างบนก็จะมีพลังงานศักย์เพิ่มขึ้น
(Ep = mgh เมื่อ Ep คือพลังงานศักย์ m คือมวลของวัตถุ g
คือความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก และ h คือระดับความสูง)
เมื่อทิ้งก้อนหินลงมาพลังงานศักย์จะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานจลน์
โดยเพิ่มความเร็วขึ้นครับ (Ek = 1/2 m v^2 เมื่อ Ek คือพลังงานจลน์
m คือมวลของวัตถุ และ v คือความเร็วของวัตถุ)
ดังนั้นเมื่อเรายกวัตถุไว้สูงมากๆ จะตกถึงพื้นแรงกว่าเมื่อยกไว้ต่ำๆ
2. พลังงานศักย์ยืดหยุ่น
เช่นเราดึงสปริงจากจุดสมดุล
ยิ่งดึงแรงมากความยาวของสปริงที่ห่างจากสมดุลก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
(พลังงานศักย์)มาก (Ep = -kx เมื่อ Ep คือพลังงานศักย์ k
คือค่าคงตัวของสปริง คือสปริงอ่อนหรือแข้งนั่นเอง และ x
คือระยะที่ยืดออก)
หมั่นทบทวน และทำแบบทดสอบกันบ่อยๆนะครับ
น้องๆก็จะประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้นะครับ seal2thai.org
เชื่อว่า ทุกคนทำได้ครับ
ขอบคุณครับที่ทำ link
และอ้างอิงมาหาเรา
นึกว่าในสังคมจะไม่มีคนให้เกียรติคนอื่นเหลืออยู่อีกแล้ว
|
ให้คะแนนข้อเขียนนี้ กี่ดาวดีครับ... |
|
|
|