ดินแดนปัญญาชน SEAL2thai.org

 

สมุดปกขาว คมช

สาระดีดี จาก ดินแดนปัญญาชน

 

ปลูกต้นไม้แห่งปัญญา กับ ดินแดนปัญญาชน  

          ดินแดนปัญญาชน           

bullet

[หน้าแรก]
 

bullet

[รวมสาระ]
 

bullet

[webboard]
 

bullet

[คุรุชน]
 

bullet

[สอบบรรจุครู]

 
bullet

ร่วมสนับสนุนเรา
โดยการทำ link
มาหาเรานะครับ

 เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก
 
เรียนพิเศษในพิษณุโลก
 
วงการครู
ขนมจีน

 ข้อสอบ o-net a-net

       
    
บ้านครูแชมป์ เรียนพิเศษในพิษณุโลก

         

     

ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครองในประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

เหตุแห่งการยึดอำนาจ

   ข้อที่ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการยึดอำนาจการปกครองเมื่อคืนวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 ก็คือ สาเหตุแห่งการยึดอำนาจดังกล่าว

   อันที่จริงข้อนี้ คณะปฏิรูปการปกครองฯ ได้ชี้แจงในประกาศ คำสั่ง และแถลงการณ์มาแล้วเป็นระยะ ต่างกรรมต่างวาระกัน แต่เหตุผลที่ควรอธิบายขยายความ ณ บัดนี้ คือ

   1.ความแตกแยกอย่างหนักในสังคมจนลามถึงแทบทุกสถาบันในชาติ นับแต่ปลายพุทธศักราช 2547 เป็นต้นมา ประเทศไทยประสบปัญหาบอบช้ำอย่างหนักทั้งในเรื่องภัยธรรมชาติร้ายแรงและการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเป็นเวลาที่ชาวไทยน่าจะสมัครสมานสามัคคีให้มากได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในช่วงเวลาเดียวกันอันประจวบกับปลายวาระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัรฐบาลในขณะนั้น ประเทศไทยกลับเริ่มตกอยู่ในภาวะตึงเครียดทางการเมืองขึ้นเป็นลำดับ เริ่มจากการชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซึ่งครั้งแรกก็เป็นการรวมกลุ่มคนไม่มากนักและเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย แต่ต่อมาได้แพร่ออกไปทางสื่อสารมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี วิดีโอ วีซีดี และยังแพร่หลายออกไปในต่างประเทศอีกด้วย การชุมนุมขยายตัวกว้างขวางและแพร่หลายมากขึ้น จนเป็นกลุ่มใหญ่และแตกแยกเป็นหลายหมู่หลายพวก แพร่ไปในหลายพื้นที่เกือบทั่วประเทศในเวลาใกล้เคียงกัน สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างหมดวาระลง ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป จึงเป็นธรรมดาที่พรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของตนอย่างเข้มข้น แต่แม้การเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงแล้วอย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง การวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาลและบุคคลในคณะรัฐบาลด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้นสิ่งที่ประชาชนผิดหวังอย่างหนักคือ รัฐบาลมิได้อธิบายชี้แจงข้อกล่าวหาให้ครบถ้วนถ่องแท้เป็นที่พอใจ รวมทั้งมิได้มีการนำผู้ถูกกล่าวหามาดำเนินคดีในระหว่างนั้นยังมีการพูดจาพาดพิงจาบจ้วงถึงสถาบนพระมหากษัตริย์ เพื่อประกอบข้ออ้างข้อเถียงหรือเหตุผลของตน จนนำไปสู่การผลัดกันกล่าวโทษเป็นคดีอาญาหลายคดีและในหลายท้องที่ว่า อีกฝ่ายหนึ่งหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีเหล่านั้นยังค้างอยู่ในชั้นสอบสวนและศาลเป็นอันมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในประเทศที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดี และในปีมหามงคลที่ทุกคนสวมเสื้อสีเหลือง โบกธงสัญลักษณ์งานพระราชพิธีทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จะแตกแยกความคิดในเรื่องนี้ได้ถึงปานนี้ ทั้งที่ควรจะยึดมั่นอยู่ในหลักความรู้รักสามัคคี ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกขึ้นในหมู่ประชาชนว่า รัฐบาลมิได้ดำเนินการเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพเท่าที่ควร และไม่ได้กระตือรือร้นที่จะสนองพระราชปรารภในการเร่งแก้ไขคลี่คลายปัญหา นอกเหนือไปจากข้อกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจำ รวมทั้งวงศาคณาญาติกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในการจัดซื้อจัดจ้าง การริเริ่มโครงการใหญ่ๆ ของรัฐ การมีผลประโยชน์ทับซ้อน การหลีกเลี่ยงกฎหมาย และการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐในหลายระดับ

   การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกนำมากล่าวพาดพิงถึงในที่ลับและที่แจ้ง ในลักษณะที่หมิ่นเหม่หรือแอบอ้างเช่นนี้ เหมือนจะหยั่งเชิงให้เกิดความเคลือบแคลงใจและกระทบกระเทือนต่อความจงรักภักดีในสถาบันที่ดำรงมายาวนานคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทยกรณีดังกล่าวนี้เป็นที่อึดอัดและขัดเคืองอย่างยิ่งในหมู่ทหารและพสกนิกรผู้มีความจงรักภักดีจนมีการวิพากษ์วิจารณ์จากปากต่อปากทั่วไปโดยหวังจะได้ยินคำชี้แจงที่ชัดเจนกอปรด้วยหลักฐาน แต่ก็ไม่ปรากฏ

   ส่วนการเปิดเวทีประชุม อภิปราย สัมมนาในที่สาธารณะซึ่งควรจะเป็นเครื่องมือสำคัญในระบอบประชาธิปไตย กลับกลายเป็นเวทีที่แบ่งแยกผู้คนออกเป็นฝักฝ่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ นักเรียน นิสิต นักศึกษาร่วมชั้นเรียนเดียวกัน สมาชิกในครอบครัวเดียวกัน เช่น พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา และญาติ ข้าราชการในที่ทำงานเดียวกัน พนักงานหรือผู้ใช้แรงงานในบริษัทห้างร้านหรือโรงงานเดียวกันสมาชิกสมาคมหรือชมรมเดียวกันที่เคยสังสรรค์กันเพื่อความบันเทิงหรือกระทำสาธารณประโยชน์ ต่างเกิดความแตกแยกในความคิดเห็นซึ่งมีทั้งที่เป็นสาระและไม่เป็นสาระ เพราะบางหมู่บางเหล่าก็ใช้อารมณ์และความเชื่อถือในตัวบุคคลเป็นใหญ่กว่าหลักการ ถ้ายกเว้นช่วงเวลามหามงคลที่ประชาชนชาวไทยพร้อมใจกันมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ในเดือนมิถุนายนเสียแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ตลอดปี 2548 และปี 2549 เป็นช่วงเวลาแห่งการแตกร้าวความสามัคคีครั้งใหญ่ของคนในชาติ บางครั้งเกิดการประจัญหน้า บางครั้งเกิดความหวาดระแวง มีการแบง่แยกเป็นเขาเป็นเรา บางครั้งฝ่ายที่มีอำนาจและไม่เห็นด้ซยกับอีกฝ่ายก็ใช้อำนาจกลั่นแกล้งในการปกครองบังคับบัญชา การจัดทำบริการสาธารณะ การจัดสรรความช่วยเหลือ จนแอม้แต่การลอบทำร้ายอีกฝ่ายดังที่ปรากฏข่าวกรณีลอบสังหารนายกรัฐมนตรีด้วยการวางระเบิด แต่มีการจับได้เสียก่อน เป็นต้น จนน่าวิตกว่า ถ้ารอยร้าวนี้บาดลึกไปนานจะยากสุดแก้ไข ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่งในภาวะที่ทั่วโลกก็มีความเปราะบางทางการเมือง การก่อการร้าย ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสังคมมากพออยู่แล้ว


   2.ความไร้ประสิทธิภาพขององค์กรต่างๆ ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ลำพังความแตกแยกร้าวฉานดังกล่าวเพียงประการเดียวอาจเยียวยาได้ด้วยความอดทนตามกาลเวลาที่ทอดยาวนานออกไป และโดยกลไกการทำหน้าที่ของรัฐ อันได้แก่ สถาบันรัฐสภา ศาลแ ละองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่งมีอยู่หลายองค์กรและถือกำเนิดขึ้นด้วยเจตนาจะให้เป็นองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ แต่แล้วเหตุอันมิคาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฏว่า หลังการเลือกตั้งทั่วไปในพ.ศ.2548 รัฐบาลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนสามารถชนะการเลือกตั้งและมีที่นั่งข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรด้วยจำนวนท่วมท้นยิ่งกว่าเดิม จนสามารถจัดตั้งรัฐบาไลด้เพียงพรรคเดียว ในขณะที่ฝ่ายค้านทุกพรรคที่เหลืออยู่ในสภาผู้แทนราษฎร แม้รวมกันก็ยังไม่สามารถใช้สิทะและทำหน้าที่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ (ตามรัฐธรรมนูญต้องมีสมาชิกเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายไม่น้อยกว่าสองในห้า หรือ 200 คน ในขณะที่ฝ่ายค้านทุกพรรครวมกันมีจำนวนเพียงหนึ่งร้อยคนเศษ) ข้อนี้อาจเป็นเรื่องของกติกาตามรัฐธรรมนูญ และประชามติที่แสดงออกโดยผลการเลือกตั้งแต่เสียงที่ไม่ไว้วางใจองค์กรกลางผู้ทำหน้าที่กำกับดูแลการเลือกตั้งก็มีอยู่ทั่วไป รวมทั้งความเข้าใจของคนไม่น้อยว่ามีการทุ่มใช้เงินมหาศาลในการเลือกตั้งโดยผิดกฎหมายและการครอบงำเจ้าหน้าที่ของรัฐ นอกจากนั้นยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลเมินเสียงข้างน้อยในสภา เช่น นายกรัฐมนตรีไม่มาตอบกระทู้ถาม และการทำหน้าที่ตรวจสอบของรัฐสภาไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายบริหารเท่าที่ควร ขณะที่วุฒิสภาเองซึ่งเป็นอีกสภาหนึ่งและควรปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบได้ในระดับหนึ่งก็ครบวาระลง สมาชิกวุฒิสภาชุดเดิมที่อยู่มาครบวาระ 6 ปีแล้วไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้ ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ก็ยืดเยื้อมานานโดญยังประกาศรายชื่อได้ไม่ครบ องค์กรนิติบัญญัติจึงอยู่ในลักษณะไม่สมประกอบหรือที่อุปมาในต่างประเทศว่าเป็น "เป็ดง่อย" ซึ่งทำให้นักคิด ปัญญาชน และนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงบางคนถึงกับออกมาปรารภในที่สาธารณะและทางสื่อมวลชนว่าหมดความหวังหรือความเชื่อมั่นในสถาบ้นรัฐสภา และเมื่อมีการยึดอำนาจแล้ว นักคิดปัญญาชน และนักวิชาการบางคนได้ให้สัมภาษณ์หรือเขียนบทความว่า ระบบรัฐสภาของไทยถูกทำลายไปก่อนหน้านี้แล้ว จะมีประโยชน์อันใดที่จะกอดกลไกไว้และคร่ำครวญเสียดายกลไกที่ถูกยกเลิกไป ในขณะที่เนื้อหาสาระอันนับว่าสำคัญยิ่งกว่ากลไกได้ถูกทำลายไปก่อนแล้ว นักวิชาการบางท่านถึงกับเสนอความเห็นด้วยซ้ำว่า มนุษย์มีสิทธิธรรมชาติที่จะก่อการรัฐประหารในสภาพที่บ้านเมืองเป็นเช่นนี้

   ข้างฝ่ายองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่หลายองค์กรก็ดูจะมีปัญหาไปแทบทุกองค์กร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ก็ว่างเว้นไม่มีมาเป็นเวลานาน เพราะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการสรรหาผู้เข้าดำรงตำแหน่ง เรื่องที่ค้างและรอการพิจารณามีจำนวนนับหมื่นเรื่องจนคาดว่าต้องใช้เวลาสะสางร่วมสิบปี ในขณะที่เรื่องใหม่ก็ยังคงทยอยหลั่งไหลเข้ามา ในจำนวนนี้มีเรื่องทุจริตสำคัญมูลค่านับพันนับหมื่นล้านที่กำลังจะหมดอายุความดำเนินคดี การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมืองและข้าราชการก็พลอยชะงัก เพราะไม่มีคณะกรรมการตามกฎหมาย และน่าเชื่อว่ายังจะว่างเว้นไปอีกนาน อันเป็นช่องว่างที่น่าวิตกยิ่ง องค์กรอื่นแม้จะมีตัวบุคคลทำหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้รับความเชื่อถือเท่าที่ควร เช่น มีการกล่าวหาว่าตกอยู่ในการครอบงำทางการเมือง เพราะกระบวนการสรรหาผ่านทางพรรคการเมือง และการเลือกสรรที่มีข่าวการวิ่งเต้นให้สมาชิกวุฒิสภาเลือกตามบัญชีที่มีผู้จัดทำขึ้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งในการกำกับดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมก็ถูกเพ่งเล็งจนไม่เป็นที่ไว้วางใจของบรรดาพรรคการเมืองที่จะต้องเข้ารณรงค์ในการเลือกตั้ง

   3.วิกฤตการณ์เลือกตั้งที่ต่อเนื่อง ในขณะที่กิดปัญหาดังกล่าว เหตุการณ์ก็ซ้ำร้ายหนักลงเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เจตนารมณ์ก็คงเพื่อยุติปัญหาสองข้อข้างต้น แล้วกลับสู่กระบวนการประชาธิปไตยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจใหม่นั่นเอง ทั้งที่เพิ่งจะผ่านพ้นการเลือกตั้งมาเพียงหนึ่งปี แต่การยุบสภาอันแม้จะเป็นวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาก็มิได้คลี่คลายปัญหาใดๆ ซ้ำร้ายกลับทำให้สถานการณ์ทรุดหนักลง เพราะเมื่อมีการสมัครรับเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยของรัฐบาลเป็นพรรคใหญ่เพียงพรรคเดียวที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในขณะที่พรรคการเมืองเล็กๆ ลงสมัครบ้างในบางเขตเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่ามีการว่าจ้างให้บางพรรคการเมืองเหล่านั้นลงสมัครเพื่อผลทางการ สร้างภาพและการนับคะแนนเสียงเปรียบเทียบสัดส่วนกัน พรรคการเมืองสำคัญที่เคยเป็นฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ (เคยจัดตั้งรัฐบาลเมื่อ พ.ศ.2535-2538 และ 2540-2541) พรรคชาติไทย (เคยจัดตั้งรัฐบาลเมื่อ พ.ศ.2538-2538) และพรรคมหาชนไม่ส่งผู้สมัครแม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นธรรมดาที่พรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้ง แต่แม้กระนั้นก็ยังมีปัญหาในบางเขตเลือกตั้ง เพราะกฎหมายกำหนดว่า ในกรณีที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียว ผู้นั้นต้องได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงเกินกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น แต่เมื่อได้คะแนนเสียงไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายระบุ เพราะประชาชนจำนวนหลายล้านคนพร้อมใจกันมาลงคะแนนเสียง แต่กาช่องที่แสดงว่าไม่ต้องการเลือกผู้สมัครรายใดหรือพรรคการเมืองใด จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเป็นที่มาแห่งการกล่าวหาว่า มีการจ้างบางพรรคการเมืองให้ส่งคนลงสมัครเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงปัญหาผู้สมัครเพียงคนเดียวจากพรรคเดียว

   ในเวลาเดียวกันก็มีการกล่าวหาและขอให้ดำเนินคดีกับพรรคไทยรักไทยและพรรคเล็ก ในข้อหาว่ามีการว่าจ้างผู้สมัครซึ่งอ้างว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย พรรคไทยรักไทยก็มีการขอให้ดำเนินคดีต่อพรรคประชาธิปัตย์บ้างว่ามีการใส่ร้ายป้ายสี คำขอจากผู้กล่าวหาทั้งสองฝ่ายคือขอให้ยุบพรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหา ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (เดิมอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ) ทางฝ่ายคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ก็ไม่ได้รบความเชื่อถือ มีการชุมนุมต่อต้านคัดค้านคณะกรรมการดังกล่าว การปิดล้อมที่ทำการของคณะกรรมการ จนกรรมการผู้หนึ่งจากห้าคนต้องขอลาออก ในขณะที่มีผู้เสียชีวิตไปก่อนแล้วหนึ่งคน จึงเหลือคณะกรรมการเพียงสามคน ซึ่งการจะดูแลจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศให้เรียบร้อยเป็นเรื่องยากลำบากมาก ที่ควรกล่าวถึงคือในส่วนของการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่งจัดการเลือกตั้งมานานแรมปีแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ยังมิได้ประกาศผลรับรองครอบคลุมทั่วถึงทุกแห่ง สภาพ "การง่อยเปลี้ยเสียขาไม่สมประกอบ" จึงลามลึกลงไปนับแต่การเมืองระดับชาติจนถึงการเมืองระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ

  ในเวลาต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ว่า การจัดการเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองใหญ่ลงสมัครเพียงพรรคเดียว และใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งไปแล้วหลายพันล้านบาท ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และแม้ต่อมาจะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ก็มีผู้ไม่เชื่อถือว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะต้องใช้งบประมาณอีกหลายพันล้านบาทนี้สามารถดำเนินการเรียบร้อย บริสุทธิ์และยุติธรรมได้ ข้อสำคัญคือขณะเดียวกัน กรรมการการเลือกตั้งสามคนที่เหลืออยู่และจะต้องจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลว่าใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ให้ลงโทษจำคุกกรรมการการเลือกตั้งทั้งสามคนโดยไม่รอลงอาญา และไม่ให้ประกันตัว ซึ่งเท่ากับจะต้องรับโทษจำคุกจริง แต่ต่อมากรรมการการเลือกตั้งทั้งสามคนขอลาออกจากตำแหน่ง และอ้างความเจ็บป่วย เช่น บางคนต้องรับการฟอกไต จึงได้รับการปล่อยชั่วคราว ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์

   เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่างลง ได้มีการสรรหาใหม่โดยศาลฎีกาเข้ามาทำหน้าที่ในการสรรหา และได้เลือกสรรส่งไปให้วุฒิสภาเห็นชอบ ซึ่งวุฒิสภาก็ให้ความเห็นชอบจนได้จำนวนครบถ้วนห้าคนเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ยังมีผู้ไม่วางใจว่า ถ้าการเลือกตั้งยังคงดำเนินต่อไปภายใต้กติกาเดิม แม้จะมีคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ที่พอเป็นที่น่าเชื่อถือได้แล้ว ความสงบเรียบร้อยจะเกิดขึ้น การเลือกตั้งจะเป็นไปได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และแม้แต่วันเลือกตั้งที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว ก็ดูจะไม่เป็นที่เชื่อมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งได้ตามนั้น และเมื่อมีการยึดอำนาจ ก็ได้มีคำสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งห้าคนที่ได้รับการคัดเลือกใหม่นี้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และเตรียมกำกับดูแลการเลือกตั้งครั้งใหม่ ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

   ข้อนี้แสดงให้เห็นวิกฤติทางการเมืองที่ชุลมุนและอลเวงอย่างยิ่งจนแทบจะกล่าวว่า ไม่ว่าจะแตะลงไปที่จุดใดก็ดูจะเป็นปัญหาไปหมด และทุกปัญหามีความเกี่ยวเนื่องกัน คือ การสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นศรัทธาในรัฐธรรมนูญ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง รัฐบาล รัฐสภา ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ และระบอบประชาธิปไตยในที่สุด หลายเรื่องต้องใช้งบประมาณมหาศาล แต่ก็ไม่บังเกิดผล หลายเรื่องใช้เวลาอันยาวนานในการแก้ไข หลายเรื่องต้องใช้ความอุตสาหะพากเพียรพยายามเป็นอันมากจากบุคคลหลายฝ่าย ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง โดยหวังจะเห็นความสงบสุข ความปรองดองกลับคืนมาโดยเร็ว แต่ก็ไร้ผล

   สถาบันที่ดูจะเป็นหลักได้มากที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าวคือสถาบันตุลาการ ซึ่งมิใช่สถาบันทางการเมือง ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสต่อประธานศาลปกครองสูงสุดและคณะ และประธานศาลฎีกาและคณะ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ว่า เหตุการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่นี้เป็นวิกฤติร้ายแรง จึงมีพระราชประสงค์ให้สถาบันศาลร่วมกันทำหน้าที่แก้ปัญหาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาโดยมาตรการทางตุลาการมีข้อจำกัด เพราะต้องใช้ระยะเวลานาน ในเบื้องต้นต้องมีคดีเกิดขึ้นเสียก่อนและกว่าคดีจะถึงที่สุดต้องใช้เวลายาวนาน ทั้งต้องอาศัยกลไกวิธีพิจารณาความซึ่งต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย จึงได้ผลทันทีในระดับหนึ่งเท่านั้น

 

หน้าที่ 1  2  3  4  5  6


รวมสาระ  counter power by www.seal2thai.org ดินแดนปัญญาชน