กายวิภาคและกลไกของอวัยวะเพศชาย
สรีรวิทยาของการแข็งตัว
 กระบวนการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย 
เกิดจากผลการทำงานหลายอย่าง
กระบวนการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย 
เกิดจากผลการทำงานหลายอย่าง
ประกอบกัน คือ เมื่อมีสิ่งเร้าทางเพศ จะเกิดการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้
เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดแดง เกิดการขยายตัวของหลอด
เลือดแดง และมีเลือดไหลเข้าสู่หลอดเลือด และโพรงภายในอวัยวะเพศในปริมาณมาก
ขึ้นการพองตัวของอวัยวะเพศจะไปกดหลอดเลือดดำ เลือดไหลออกจากอวัยวะเพศได้
น้อยมาก ทำให้เกิดการคั่งของเลือดภายในอวัยวะเพศ เกิดการแข็งตัว 
 
 
** สารเคมีที่มีบทบาทสำคัญใน 
การควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบของ
เส้นเลือดภายในอวัยวะเพศ คือ ไนตริกออกไซด์ 
 
การแข็งตัวของอวัยวะเพศ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ
เกิดขึ้นได้ 3 แบบ คือ
 
* จากจิตใจ : 
ส่วนใหญ่เกิดจากการกระตุ้นด้วยรูป รส กลิ่น เสียง จินตนาการ 
 
* จากการกระตุ้นระบบเส้นประสาท : 
ส่วนใหญ่เกิดจากการกระตุ้นที่ 
อวัยวะ เพศ โดยตรง 
 
* ในยามหลับ : 
เกิดขึ้นในช่วงของการหลับซึ่งคนปกติจะมีการแข็งตัวคืนละ 
4-5 ครั้ง การแข็งตัวส่วนใหญ่เป็นผลร่วมกันของการกระตุ้นทางจิตใจและ
ปฏิกิริยาของระบบ เส้นประสาท 
	
		|  | เด็กหญิงมี "รังไข่" และ "มดลูก" ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด 
		อวัยวะทั้งสองเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน 
		เพราะทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์และอยู่ภายในร่างกายทั้งรังไข่และมดลูกจะเริ่มทำงาน 
		ก็ต่อเมื่อเด็กหญิงมีอายุย่างเข้าสู่วัยสาว คือ ประมาณ ๑๑-๑๔ ปี 
		
		รังไข่ มีขนาดเล็ก มีอยู่สองอัน อยู่แยกกัน แต่ละอันอยู่ใกล้ "ปากท่อนำไข่" 
		รังไข่ทำหน้าที่ผลิตไข่และสร้างฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งเรียกว่า "เอสโตรเจน" 
		(estrogen) ฮอร์โมนนี้ควบคุมการเกิดลักษณะต่าง ๆ 
		ของเพศหญิงเมื่อมีอายุเข้าสู่วัยสาว เช่น มีเสียงแหลมเล็ก ตะโพกผาย 
		หน้าอกและอวัยวะเพศขยายใหญ่ขึ้น มีขนขึ้นตามรักแร้และอวัยวะเพศ 
		มดลูกมีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีเยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น และมีประจำเดือน 
		เป็นต้น | 
	
		| มดลูกมีอยู่อันเดียว ภายในเป็นโพรง ตอนบนกว้าง 
		และติดต่อกับท่อนำไข่ ตอนกลางแคบ ตอนล่างติดต่อกับ "ช่องคลอด" 
		ส่วนของมดลูกซึ่งติดต่อกับช่องคลอดเรียกว่า "ปากมดลูก" 
		มดลูกเป็นที่อาศัยของทารกขณะอยู่ในท้องแม่ | 
	
		| ภายในรังไข่แต่ละข้างมีไข่อ่อน ซึ่งยังไม่เจริญเต็มที่อยู่มากมาย 
		ไข่อ่อน แต่ละใบมี "ถุงไข่" (ฟอลลิเคิล) หุ้มไว้ โดยปกติ 
		รังไข่ผลิตไข่สลับข้างกัน และผลิตเดือนละครั้ง ครั้งละหนึ่งใบ 
		ในการผลิตไข่แต่ละครั้งจะมีถุงไข่เจริญเติบโตขึ้นมาหลายถุง 
		แต่จะมีเพียงถุงเดียวเท่านั้นที่ไข่อ่อนเจริญเต็มที่ ส่วนใหญ่จะฝ่อไป 
		เมื่อไข่อ่อนเจริญเต็มที่จะหลุดจากรังไข่ลงสู่ช่องท้อง เรียกว่า "ตกไข่" 
		ขณะที่ถุงไข่กำลังเจริญเติบโตจะมีการสร้างเอสโตเจนไปกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นด้วย 
		เมื่อไข่ตกจากรังไข่แล้วซากถุงไข่ซึ่งยังคงเหลืออยู่ในรังไข่จะสร้างฮอร์โมนเพศหญิงอีกชนิดหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า 
		"โปรเจสเตอโรน" (progesterone) 
		ฮอร์โมนนี้จะทำให้เยื่อบุภายในโพรงมดลูกซึ่งหนาตัวขึ้นนั้น 
		เตรียมพร้อมที่จะรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมพันธุ์แล้ว |  | 
	
		|  | หลังจากหลุดจากรังไข่ตกลงสู่ช่องท้องแล้ว 
		ไข่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ท่อนำไข่ ลงสู่โพรงมดลูกตามลำดับ 
		ขณะที่อยู่ในท่อนำไข่ ถ้ามีการผสมพันธุ์ หรือ "การปฏิสนธิ" 
		เกิดขึ้นระหว่างไข่กับ "อสุจิ" หรือ "สเปิร์ม" (sperm) 
		ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์ของเพศชายไข่ที่ผสมพันธุ์แล้วจะเคลื่อนที่ลงไปฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก 
		แล้วเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนและทารกต่อไปตามลำดับ 
		ถ้าไม่มีการผสมพันธุ์เกิดขึ้น ไข่จะฝ่อและสลายตัว 
		แล้วเยื่อบุโพรงมดลูกจะเสื่อม และลอกหลุดจากผนังโพรงมดลูก 
		พร้อมทั้งมีเลือดไหลปนออกมาทางช่องคลอด เรียกว่า "ประจำเดือน" 
		หลังจากมีประจำเดือนครั้งแรกแล้วก็จะมีครั้งต่อไปอีกทุกเดือน 
		เดือนละครั้งจนอายุประมาณ ๔๕-๕๐ ปี จึงจะหยุดมีประจำเดือน 
		โดยทั่วไประยะเวลาของการมีประจำเดือนแต่ละครั้งประมาณ ๓-๕ วัน 
		และปริมาณของเลือดที่ไหลออกมาประมาณ ๕๐-๗๐ มิลลิเมตร ต่อครั้ง เราเรียก "วัยมีประจำเดือน" 
		ได้อีกชื่อหนึ่งว่า "วัยเจริญพันธุ์" เพราะเป็นวัยที่หญิงสามารถมีลูกได้ 
		ที่เป็นเช่นนี้เพราะการตกไข่เกิดขึ้นเฉพาะในวัยนี้เท่านั้น 
		แต่ในวัยหมดประจำเดือนจะไม่มีการตกไข่ 
		หญิงในวัยหมดประจำเดือนจึงหมดความสามารถที่จะมีลูกได้อีกต่อไป | 
	
		| การมีประจำเดือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ 
		ไม่ใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่แสดงให้ทราบว่า 
		เด็กหญิงนั้นได้เจริญเต็มที่พร้อมที่จะมีลูกได้ 
		โดยปกติการตกไข่และการมีประจำเดือนนั้น เกิดขึ้นทุกเดือน 
		ระยะเวลาระหว่างวันแรกของประจำเดือนครั้งหนึ่งกับวันแรกของประจำเดือนครั้งต่อไปเรียกว่า 
		"รอบเดือน" หรือ "รอบประจำเดือน" โดยทั่วไป "รอบเดือน" กินเวลาประมาณ ๒๘ 
		วัน ก่อนมีประจำเดือน หรือระหว่างมีประจำเดือน อาจมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น 
		เช่น ปวดศีรษะ เมื่อยล้า หงุดหงิด ปวดท้อง ฯลฯ 
		อาการเหล่านี้เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นโดยไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด 
		แต่ถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ประจำเดือนมาเร็วหรือช้าเกินไป 
		มีนานกว่าปกติหรือมากกว่าปกติ ขาดประจำเดือนหรือไม่มีประจำเดือนเลย ฯลฯ 
		เหล่านี้ควรไปให้แพทย์ตรวจดูว่าความผิดปกตินั้นเกิดจากอะไร 
		จะได้ให้การรักษาได้อย่างถูกต้อง |  | 
	
		|  | สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการขาดประจำเดือนคือ "การตั้งครรภ์" 
		ในระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากประจำเดือนขาดหายไป และไม่มีการตกไข่เกิดขึ้นแล้ว 
		ร่างกายของแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น 
		หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นเพื่อเตรียมผลิตน้ำนมไว้เลี้ยงทารก มดลูกขยายใหญ่ขึ้น 
		ท้องใหญ่ขึ้น ฯลฯ และอาจมีการแพ้ท้อง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน 
		วิงเวียนศีรษะเกิดขึ้นได้ | 
	
		| ในระยะหนึ่งของการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์นั้น 
		จะมีอวัยวะสำคัญเกิดขึ้น ๓ ชนิด คือ ถุงน้ำคร่ำ รก และสายสะดือ "ถุงน้ำคร่ำ" 
		เป็นเยื่อบาง ๆ หุ้มทารกไว้โดยรอบภายในถุงมีของเหลว เรียกว่า "น้ำคร่ำ" 
		บรรจุอยู่ ถุงน้ำคร่ำทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ทารกในท้องได้รับความกระเทือน "รก" 
		เป็นอวัยวะที่อยู่ระหว่างผนังโพรงมดลูกของแม่กับสายสะดือของทารก 
		รกทำหน้าที่แลกเปลี่ยน อาหาร อากาศ และของเสียระหว่างแม่กับทารก 
		ส่วนสายสะดือทำหน้าที่สื่อสารดังกล่าว 
		เนื่องจากเส้นเลือดของแม่และทารกไม่ได้เชื่อมติดกันโดยตรง ดังนั้น 
		เลือดของแม่และทารกจึงไม่ปนกัน 
		อาหารและออกซิเจนจะแพร่ออกจากเลือดของแม่ผ่านรกเข้าสู่เลือดของทารก 
		ส่วนของเสียจะแพร่ออกจากเลือดของทารกผ่านรกเข้าสู่เลือดของแม่ 
		เพื่อให้ร่างกายแม่ขับออกสู่ภายนอก |  | 
	
		|  | โดยปกติระยะเวลาของการตั้งครรภ์ประมาณ ๒๘๐ วัน หรือ ๔๐ 
		สัปดาห์นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายเป็นต้นไป 
		เมื่อท้องครบกำหนดแม่จะเจ็บท้อง กล้ามเนื้อมดลูกจะบีบตัว 
		ทำให้ทารกเคลื่อนที่ต่ำลงไปโดยหันศีรษะลงสู่ช่องคลอด ปากมดลูกจะเริ่มเปิด 
		และเปิดมากขึ้นตามลำดับ เมื่อปากมดลูกเปิดเต็มที่ 
		ถุงน้ำคร่ำจะแตกออกทารกจะเคลื่อนตัวผ่านออกมาทางช่องคลอด 
		ส่วนรกจะหลุดตามออกมาหลังคลอดแล้ว | 
	
		| การคลอดตามขั้นตอนดังกล่าว เป็นการคลอดตามธรรมชาติ 
		จัดได้ว่าเป็นการคลอดปกติ 
		ส่วนการคลอดที่ต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอดหรือต้องผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้องของแม่นั้นเป็นการคลอดผิดปกติ 
		สาเหตุสำคัญที่ทำให้คลอดผิดปกติมีหลายประการ เช่น ทารกมีขนาดใหญ่เกินไป 
		หรือไม่ได้สัดส่วนกับขนาดของช่องเชิงกรานของแม่ ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ 
		รกเกาะต่ำ เป็นต้น |  | 
	
		|  | สมัยก่อนคนไทยนิยมคลอดตามบ้าน โดยมี "หมอตำแย" เป็นผู้ทำคลอด 
		แต่ปัจจุบันนิยมคลอดที่โรงพยาบาลที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล 
		เพราะปลอดภัยกว่า 
		เนื่องจากโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลมีอุปกรณ์สำหรับคลอดพร้อมและทันสมัย สะอาด 
		ปราศจากทารกให้ปลอดภัยและปราศจากภาวะแทรกซ้อนได้ 
		เพราะทั้งแพทย์และพยาบาลผดุงครรภ์ต่างก็ได้รับการศึกษาและผ่านการฝึกฝนในเรื่องทำคลอดมาแล้วเป็นอย่างดี | 
	
		| ในบรรดาวิชาต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหลักสูตรแพทย์และพยาบาลนั้น 
		มีวิชาที่ว่าด้วยระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงอยู่ ๒ วิชา คือ "สูติศาสตร์" และ 
		"นรีเวชวิทยา" คำว่า "สูติ" แปลว่าเกิด "ศาสตร์" แปลว่าวิชา ดังนั้น "สูติศาสตร์" 
		จึงเป็นวิชาที่ว่าด้วยการเกิด ซึ่งหมายรวมทั้งการตั้งครรภ์ปกติและไม่ปกติ 
		การดูแลระหว่างตั้งครรภ์ การคลอด และ การดูแลหลังคลอด 
		แพทย์ซึ่งมีหน้าที่ทำคลอดเรียกว่า "สูติแพทย์" 
		ส่วนพยาบาลซึ่งได้รับการอบรมจนสามารถทำคลอดได้เรียกว่า "พยาบาลผดุงครรภ์" |  | 
	
		|  | ส่วนคำว่า "นรี" แปลว่าหญิง "เวช" แปลว่านายแพทย์ "วิทยา" 
		แปลว่าความรู้ดังนั้น "นรีเวชวิทยา" 
		จึงหมายถึงความรู้ทางแพทย์ที่ว่าด้วยเรื่องของหญิง 
		เป็นความรู้เกี่ยวกับความผิดปกติ และโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่าง ๆ 
		ในระบบสืบพันธุ์ของหญิง เช่น เนื้องอก มะเร็ง 
		การอักเสบและการติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น | 
 
กายวิภาค


อ้างอิง
www.menhealth.pfizer.co.th/html/learninged/ed2thai.htm
http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK9/chapter2/t9-2-m.htm
http://www.doctor.co.th/cgi-bin/yabb/SanSexTalk.pl?board=interactivestory;action=display;num=1062760920
 
ร่วมสนับสนุนเรา 
			โดยการทำ link มาหาเรานะครับ เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก พรมลายน่ารัก มะขาม
ขนมจีน ข้อสอบ
		
		o-net 
		a-net 
สอบบรรจุครู
    
		
		 
		
		
[หน้าแรก] 
[รวมสาระ]
[webboard]
 

 power by seal2th
 power by seal2th